Translate

วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2554

ชำแหละภาษีที่ดินและการยกเว้นการเสียภาษีที่ดินสำหรับที่ดินสาธารณะสมบัติของแผ่นดินประเภท ภบท5

การเสียภาษีบำรุงท้องที่และภาษีโรงเรือนได้เกิดขึ้นมานานแล้วถึง77 ปีถึงคราวที่ท่านต้องทำความเข้าใจกับประเภทของที่ดิน 10 ประเภทที่มีพระราช
กฎษฎีกายกเว้นการเก็บภาษีบำรุงท้องที่กันบ้างเพราะหากได้เข้าไปทำการซื้อขายที่ดินในประเภทที่ดินดังกล่าวแล้ว ที่ๆซึ่งเคยได้เสียภาษีบำรุงท้องที่ให้ อบต ทุกๆปี อยู่ๆๆมาอบต แจ้งว่ายกเลิกการจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่ขึ้นมาแล้วที่ดิน ภบท 5 ที่ท่านครอบครองอยู่ มันจะเป็นไปทิศทางไหน???
ในปัจจุบันหลายจังหวัดได้ประกาศยกเลิกการเก็บภาษีบำรุงท้องที่หรับที่ดินประเภท ภบท 5ไปบ้างแล้วแต่ยังคงมีหลงเหลือในบางพื้นที่ที่ยังคงเก็บอยู่เพื่อใช้ในการบำรุงท้องที่ของอบต นั้นๆๆ อยู่ ซึ่งการจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่ตามมาตรา 6 ของแต่ละองค์การบริหารส่วนตำบล เป็นหน้าที่ที่ต้องนำส่งให้สตง (สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน)ตรวจสอบ ดังนั้นในปัจจุบันจะยังคงจัดเก็บอยุ่สำหรับที่ดิน สปก โฉนด นส3 ซึ่งทั้งสาม ประเภทที่ดินนี้จะมีใบ ภบท 5 แนบ ประกอบกับใบเสร็จสีชมพูที่แสดงถึงการชำระภาษีบำรุงท้องที่ ในแต่ละปี เช่นเดียวกันหมด ซึ่งหากที่ดินภบท 5 ที่ท่านถือครองและเสียภาษีที่ดินอยู่ นั้นเป็นที่ดินที่อยู่ในพื้นที่ของ สปก ดูแลอยู่แต่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนสปก4-01 ยังคงเป็น เอกสารที่ต้องเสียภาษีเช่นกัน นอกนั้นคงต้องตรวจสอบเบื้องหลังของที่ดินกันก่อนว่า ภบท 5 นั้นจัดอยู่ในทั้ง 10 ประเภทที่ต้องยกเว้นหรือไม่ ..??
รัฐบาลผ่านมาผ่านไปหลายชุด แต่ไม่มีใครแตะกฎหมายร้อนฉบับนี้ ในปี 2550 ช่วงรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์
มีการเสนอร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ แต่นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสมัยนั้นได้ขอถอนร่างกฎหมายออกไป นายฉลองภพอ้างว่า ภาษีที่ดินเป็นเรื่องการแบ่ง (ขนม) เค้ก ต้องให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตัดสินใจ
เหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่ต้องมีกฎหมายภาษีที่ดินฉบับใหม่ เพราะกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบันคือภาษีโรงเรือนและที่ดินที่ใช้มาแล้วกว่า 77 ปี ขณะที่ภาษีบำรุงท้องที่ใช้มาแล้ว 44 ปี มีความ ล้าสมัยและโบราณอย่างมาก
ภาษีที่ดิน เครื่องมือกระจายรายได้
นอกจากประเด็นเรื่องความไร้ประสิทธิภาพของภาษีโรงเรือนและที่ดินและภาษีบำรุงท้องที่แล้ว ประเด็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทยอีกประการคือ ปัญหาช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนได้ห่างออกจากกันไปเรื่อยๆ จากงานวิจัยของ ดร.อัมมาร สยามวาลา และ ดร.สมชัย จิตสุชน ระบุว่า "รายได้จากกลุ่มคนรวยสุดคิดเป็นเกือบ 14 เท่าของคนจนสุด" ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย นักวิชาการหลายคนเชื่อว่าระบบภาษีที่ดินใหม่จะเป็นเครื่องมือในการกระจายรายได้
ทั้งนี้หลักการสำคัญของกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
3 ประการคือ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม การใช้ประโยชน์จากที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมการกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองท้องถิ่น (อปท.) หากพิจารณาจากข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) พบว่าประชาชนทั่วประเทศถึง 90%
ถือครองที่ดินโดยเฉลี่ยน้อยกว่า 1 ไร่ ส่วนที่เหลือก็มีเพียง 10% เท่านั้นที่ถือครองที่ดินมากกว่า 100 ไร่ นี่คือความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้น
จากข้อมูลของ สศค.ชี้ให้เห็นว่า การถือครองที่ดินในประเทศไทยมีลักษณะกระจุกตัวอย่างมาก นอกจากนี้ยังพบว่าในสัดส่วน 10% ที่ถือครองที่ดินมากกว่า 100 ไร่นั้น มีถึง 75%
ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ เป็นเพียงการซื้อที่ดินเปล่าทิ้งไว้เพื่อเก็งกำไร แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยไม่มีระบบภาษีที่เป็นธรรมมาดูแล
การกระจายการถือครองที่ดินหรือมีระบบภาษีที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ
งานวิจัยเรื่องนโยบายและมาตรการการคลังเพื่อความเป็นธรรมในการกระจายรายได้ คณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ซึ่งศึกษาการกระจายการถือครองที่ดินในเขตกรุงเทพมหานคร
พบว่าในปี 2551 กรุงเทพมหานครมีขนาดพื้นที่ทั้งหมดที่สามารถถือครองได้ 927,074 ไร่ 1 งาน 18.6 ตารางวา จำนวนโฉนดที่ดินทั้งหมด 1,915,388 แปลง จำนวนรายที่ถือครองที่ดินในกรุงเทพมหานคร 1,464,207 ราย
ทั้งนี้ผู้ที่ถือครองที่ดินมากที่สุดในกรุงเทพมหานครถือครองที่ดิน 14,776 ไร่ 1 งาน 39.7 ตารางวา ขณะที่ผู้ถือครองที่ดินน้อยที่สุดในกรุงเทพมหานครถือครองที่ดินเพียง 0.1 ตารางวา สัดส่วนการถือครองที่ดินมากที่สุด 50 อันดับแรกต่อ 50 อันดับสุดท้ายมีค่าสูงถึง 291,607.50 เท่า หมายความว่า กลุ่มคนที่มีที่ดินมากที่สุด ได้ถือครองที่ดินมากกว่ากลุ่มคนที่มีที่ดินน้อยที่สุดในกรุงเทพมหานครถึง 291,607.50 เท่าเพิ่มเงินให้ท้องถิ่น 9 หมื่นล้าน
นอกจากนี้ยังมีประเด็นปัญหาเรื่องความสามารถขององค์กรปกครองท้องถิ่นในการจัดเก็บภาษี ปัจจุบันรายได้ของ อปท.ที่จัดเก็บเองมีเพียง 10% เท่านั้น หรือประมาณ 20,000-30,000 ล้านบาท โดยเป็นการจัดเก็บจากภาษีโรงเรือนและที่ดิน ภาษีบำรุงท้องที่ ภาษีป้าย และอื่นๆ ส่วนอีก 90% มาจากงบฯกลางของรัฐบาลที่เก็บให้และแบ่งให้ โดยในปี 2551 รัฐบาลเก็บให้และแบ่งให้ อปท. 193,676 ล้านบาท
หากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น เช่น ประเทศนิวซีแลนด์ ท้องถิ่นจัดเก็บรายได้เองถึง 90% หรือประเทศเพื่อนบ้านของประเทศไทย เช่น ประเทศมาเลเซีย ท้องถิ่นจัดเก็บรายได้เอง 85% จากข้อมูลทั้งหมดชี้ชัดว่า อปท.ของประเทศไทยจัดเก็บภาษีเองได้น้อยมาก เมื่อเทียบกับต่างประเทศ
ฉะนั้นถ้าจะส่งเสริมการกระจายอำนาจให้แก่ อปท.อย่างจริงจัง การนำระบบภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาใช้ย่อมมีประโยชน์โดยตรงต่อการพัฒนาท้องถิ่น และยังลดงบประมาณจากรัฐบาลที่ส่งให้แก่ท้องถิ่นปีละเกือบ 2 แสนล้าน ซึ่งจะทำให้รัฐบาลมีงบประมาณเพียงพอนำไปพัฒนาประเทศด้านอื่นๆ
และจากการคาดการณ์ของ สศค.พบว่า หากท้องถิ่นเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเต็มเพดานจะเก็บภาษีได้มากกว่า 90,000 ล้านต่อปี
อัตราภาษีที่ดินแบบประนีประนอม
จากร่างภาษีที่ดินฉบับใหม่จะทำให้ทุกคนเสียภาษีที่ดินเหมือนกันหมด โดยมีฐานภาษี 3 อัตราที่ต่างกันไปตามขนาดและมูลค่าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
อัตราแรกเป็นอัตราภาษีทั่วไป สำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (เชิงพาณิชย์) ไม่เกินร้อยละ 0.5 ของฐานภาษี
อัตราที่สองเป็นอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างสำหรับที่อยู่อาศัยของตน โดยไม่ประกอบเชิงพาณิชย์ ไม่เกินร้อยละ 0.1 ของฐานภาษี
อัตราที่สามเป็นอัตราภาษีสำหรับที่ดินที่ใช้ประกอบเกษตรกรรม ไม่เกินร้อยละ 0.05 ของฐานภาษี
ทั้งนี้กรณีที่ อปท.มีเหตุผลและความจำเป็นในการพัฒนาท้องถิ่นของตน อปท.มีอำนาจออกข้อบัญญัติกำหนดอัตราภาษีเพิ่มขึ้นจากอัตราภาษีที่คณะกรรมการกำหนดอัตราภาษีกำหนด แต่ไม่เกินเพดานอัตราภาษีที่กฎหมายกำหนด
สำหรับอัตราภาษีสำหรับที่ดินที่ทิ้งไว้ว่างเปล่า หรือไม่ได้ทำประโยชน์ตามควรแก่สภาพที่ดิน ใน 3 ปีแรกให้เสียภาษีในอัตรา ไม่ต่ำกว่าอัตราทั่วไปที่คณะกรรมการกำหนดอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้กำหนดไว้ แต่ไม่เกินร้อยละ 0.5 ของฐานภาษี และหากยังไม่ได้ทำประโยชน์อีกให้เสียภาษีเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่า ในทุก3 ปี แต่ไม่เกินร้อยละ 2 ของฐานภาษี
อย่างไรก็ตามทรัพย์สินที่ได้รับการยกเว้นการจัดเก็บภาษีมี 10 ประเภท ดังนี้ 1.ทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
2.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่มิได้ใช้หาผลประโยชน์
3.ทรัพย์สินของรัฐที่ใช้ในกิจการของรัฐหรือสาธารณะโดยมิได้หาผลประโยชน์
4.ทรัพย์สินที่ทำการของสหประชาชาติทบวงการชำนาญพิเศษขององค์การสหประชาชาติ หรือองค์การระหว่างประเทศอื่น ซึ่งประเทศไทยมีข้อผูกพันที่ต้องยกเว้นภาษี
5.ทรัพย์สินที่เป็นที่ทำการสถานทูต หรือสถานกงสุลของต่างประเทศ
6.ทรัพย์สินของสภากาชาดไทย
7.ทรัพย์สินที่เป็นศาสนสมบัติไม่ว่าเป็นของศาสนาใด หรือทรัพย์สินที่เป็นศาลเจ้าโดยมิได้ใช้หาผลประโยชน์
8.ทรัพย์สินที่ใช้เป็นสุสานสาธารณะ หรือฌาปนสถานสาธารณะโดยมิได้รับประโยชน์ตอบแทน
9.ทรัพย์สินของเอกชนหรือรัฐวิสาหกิจ เฉพาะส่วนที่ได้ยินยอมให้ทางราชการใช้หรือประชาชนใช้โดยมิได้หาผลประโยชน์
10.ทรัพย์สินตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา
ประเด็นที่ควรแก้ไข
ก่อนหน้านี้ ดร.ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะทำให้รายรับของ อปท.เพิ่มขึ้น แต่อาจ ส่งผลลัพธ์ที่ไม่พึงปรารถนา กล่าวคือ income inequality ระหว่าง อปท.จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
โดยสรุปภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมีความเหมาะสมที่จะนำมาใช้แทนภาษีโรงเรือนและที่ดินและภาษีบำรุงท้องที่ในหลายประการ แต่กระนั้นก็ยังมีบางประเด็นที่ควรปรับปรุงแก้ไข เช่น อัตราภาษีทั่วไปสำหรับที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (เชิงพาณิชย์) ไม่เกินร้อยละ 0.5 และอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างสำหรับที่อยู่อาศัยไม่เกินร้อยละ 0.1 ต่ำเกินไป ควรเก็บให้สูงกว่านี้เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย
นอกจากนี้ทรัพย์สินที่ได้รับการยกเว้นการจัดเก็บภาษี 10 รายการตามร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินควรตัดออกไปให้น้อยที่สุด และไม่ควรเปิดช่องให้มีการออกพระราชกฤษฎีกามายกเว้นทรัพย์สินที่ได้รับการยกเว้นการจัดเก็บภาษีในอนาคต
ประการสุดท้ายสิ่งที่น่าห่วงใยคือ ศักยภาพและประสิทธิภาพของแต่ละท้องถิ่น ในการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงหลักธรรมาภิบาล เพราะหากมิเช่นนั้นแล้วจะนำไปสู่ความไม่เป็นธรรมและความไม่โปร่งใส