Translate

วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ถ้ากรุงเทพน้ำท่วมในอนาคตแล้วที่ราบสูงโคราช จะเป็นอะไร??

ช่วงนี้ภาวะโลกร้อนของเราเปลี่ยนแปลงบ่อยจากภัยภิบัติทางธรรมชาติซึ่งมีนักวิชาการหลายฝ่ายออกมาเปิดเผยข้อมูลกันมากขึ้น



 ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าฝนจะตกเพียงไม่กี่ชั่วโมง หรือน้ำฝนมีปริมาณไม่มากนักก็ตาม ล่าสุดนักวิชาการไทยได้นำแบบจำลองทางคณิตศาสตร์มาคำนวณเปรียบเทียบกับข้อมูลน้ำท่วมในอดีต จนพบว่าอีกไม่เกิน 11 ปี หรือในปี 2563 คนกรุงเทพฯ จะเผชิญกับวิกฤติน้ำท่วมอย่างรุนแรง สร้างความเสียหายไม่ต่ำกว่า 1.5 แสนล้านบาท ขณะที่หน่วยงานรัฐยังไม่มีนโยบายชัดเจน เพื่อรับมือน้ำท่วมครั้งใหญ่ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

 รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า หลังจากองค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจ สหภาพยุโรป (โออีซีดี) รายงานผลการวิเคราะห์ว่าในอีกไม่นานน้ำจะท่วม 9 เมืองใหญ่ทั่วเอเชีย ได้แก่ กัลกัตตา มุมไบ ดักกา กวางสี เซี่ยงไฮ้ โฮจิมินห์ ไฮฟอง ย่างกุ้ง และกรุงเทพมหานครนั้น ศูนย์วิจัยจึงริเริ่มโครงการศึกษา "ผลกระทบและแนวทางการปรับตัวจากผลพวงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อกรุงเทพฯ และปริมณฑล" ระหว่างเดือนเมษายน 2551-เมษายน 2552 โดยสร้างแบบจำลองคณิตศาสตร์สภาพเมืองกรุงเทพฯ และพื้นที่ข้างเคียง มีทั้งแม่น้ำเจ้าพระยา คลอง ตึกรามบ้านช่อง ฯลฯ จากนั้นนำข้อมูลระดับน้ำฝนและระดับน้ำทะเลในอนาคตที่สำรวจโดยไอพีซีซี หรือคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศ (ไอพีซีซี) มาวิเคราะห์เปรียบเทียบ ทำให้พบว่าอีก 11 ปีข้างหน้า หรือปี 2563 จะเกิดปรากฏการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล คล้ายกับเหตุการณ์น้ำท่วมหนักปี 2538
 "สิ่งที่พบชัดเจนคือปกติพื้นที่กรุงเทพฯ จะรับปริมาณน้ำฝนไหลผ่านได้ไม่เกิน 2,500 ลบ.ม.ต่อวินาที ช่วงที่น้ำท่วมหนักในปี 2538 มีปริมาณน้ำฝนไหลผ่านถึง 4,200 ลบ.ม.ต่อวินาที ในแบบจำลองวิเคราะห์ว่าอีก 11 ปีข้างหน้ากรุงเทพฯ จะมีน้ำฝนไหลผ่านประมาณ 4,000 ลบ.ม.ต่อวินาทีเช่นกัน นอกจากนี้ยังพบปริมาณฝนตกในเขตกรุงเทพฯ มีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ระดับน้ำทะเลสถานีหลักปากแม่น้ำทั้ง 4 แห่ง คือ แม่กลอง ท่าจีน เจ้าพระยา และบางปะกง ก็มีแนวโน้มสูงขึ้นโดยเฉลี่ย 1.3 เซนติมเตรต่อปี ขณะที่ กรุงเทพฯ ทรุดตัวประมาณ 1 เซนติเมตรต่อปี ทำให้น้ำทะเลสูงขึ้น 3 มิลลิเมตรทุกปี ปัจจัยหลักทั้งหมดที่กล่าวมาเชื่อได้ว่าประมาณปี 2563 ชาวกรุงเทพฯ ต้องรับมือกับภาวะน้ำท่วมหนัก" รศ.ดร.เสรี กล่าว
 ยิ่งไปกว่านั้นยังพบปัจจัยเสริมอีก 4 ข้อ คือ 1.พื้นที่ชายฝั่งทะเลหายไปปีละประมาณ 10 เมตร ดังนั้นในอนาคต 50 ปีข้างหน้า ชายฝั่งจะถอยไป 500 เมตร ส่งผลให้พื้นที่บางส่วนของกรุงเทพฯ มีน้ำทะเลท่วมขัง 2.พื้นดินของกรุงเทพฯ เป็นดินอ่อน มีการทรุดตัวอยู่ตลอดเวลา คาดว่าอีก 40 ปีข้างหน้าจะทรุดต่ำลงไปอีกประมาณ 30 เซนติเมตร เช่น เขตบางกะปิทรุดตัวแล้ว 100 เซนติเมตร 3.ผลพวงจากภาวะโลกร้อน ปริมาณน้ำฝนจะเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 10 ใน 40 ปีข้างหน้า 4.พื้นที่ชุ่มน้ำที่เป็นแนวป้องกันน้ำท่วมตามธรรมชาติถูกมนุษย์สร้างตึกหรือสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ขวางทางน้ำไหล ทำให้น้ำท่วมขังไม่มีช่องทางระบายน้ำออกไป
 "ผลวิเคราะห์ชี้ชัดว่าทุกๆ 25 ปีจะเกิดฝนตกหนัก ทำให้กรุงเทพฯ จมน้ำ เปรียบเทียบจากปีที่ไม่มีน้ำท่วมหนัก ปริมาณน้ำฝนปกติเฉลี่ยเดือนละ 150 มิลลิเมตร แต่ปีที่น้ำท่วมหนักจะมีปริมาณน้ำฝนพุ่งสูงขึ้นไป 2-3 เท่า ประมาณ 400 มิลลิเมตรต่อเดือน เมื่อฝนตกหนักและต่อเนื่องเป็นเดือน ก็ไม่มีใครระบายน้ำได้ทัน ส่วนแม่น้ำปิง วัง ยม น่าน ก็เต็มล้นจนท่วมจังหวัดรอบกรุงเทพฯ มีการประเมินความเสียหายจากน้ำท่วม 2538 ว่าประมาณ 4 หมื่นล้านบาท แต่หากผลคาดการณ์นี้ถูกต้อง น้ำท่วมในปี 2563 จะสร้างความเสียหายให้กรุงเทพฯ สูงถึง 1.5 แสนล้านบาท ดังนั้น รัฐบาลต้องมีนโยบายป้องกันน้ำท่วมอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะในพื้นที่สาทร คลองเตย บางแค บางนา สาเหตุที่เปิดเผยผลการศึกษานี้ออกมาก็เพื่อให้สังคมไทยรับรู้ และเตรียมพร้อมรับมือภัยน้ำท่วมที่จะเกิดขึ้นในอีก 11 ปีข้างหน้า" รศ.ดร.เสรี กล่าว
 ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติ วิเคราะห์ถึงระบบป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ ว่าจากเดิมที่เคยออกแบบให้มีระดับความปลอดภัย 1 ใน 100 จากสภาพปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ ความปลอดภัยที่ตั้งไว้จะลดลงเหลือเพียง 1 ใน 10 หรือ 1 ใน 5 เท่านั้นเอง หมายความว่า ไทยจะต้องเผชิญเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ทุกๆ 5-10 ปี กล่าวคือเศรษฐกิจเราจะเสียหายประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท ในทุกๆ 5-10 ปี 
 "เมื่อข้อมูลวิเคราะห์ตรงกันว่าจะมีน้ำท่วมใหญ่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า รัฐบาลประเทศอื่นเตรียมแผนการรับมือน้ำท่วมอย่างจริงจัง มีการตั้งคณะกรรมการระดับชาติ เช่นที่อังกฤษได้ปรับปรุงประตูกั้นแม่น้ำเทมส์ ส่วนใหญ่จะกังวลเรื่องน้ำทะเลท่วมซ้ำเติม โดยเนเธอร์แลนด์ทำคันดินปลูกหญ้าทับ ส่วนญี่ปุ่นมีเงินมากก็ทำเป็นกำแพงคอนกรีต สิงคโปร์สร้างคันดินยกระดับให้สูงเพิ่มอีก 1.5 เมตร สำหรับประเทศไทยยังไม่มีหน่วยงานใดรับเป็นเจ้าภาพป้องกันน้ำท่วมระดับประเทศ แม้จะมี พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 2550 และคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ แต่ขาดความร่วมมือ ขาดเอกภาพ งบประมาณบานปลาย สูญเสียปีละ 2 หมื่นกว่าล้านบาท เพื่อเป็นงบช่วยเหลือมากกว่าป้องกัน" ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติ ระบุ
 ด้าน นายชาญชัย วิทูรปัญญากิจ ผู้อำนวยการสำนักการระบายน้ำกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงสถานการณ์น้ำฝนของกรุงเทพฯ ในปีนี้ว่า ตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงเดือนพฤษภาคม 2552 ปริมาณน้ำฝนมีมากกว่าค่าเฉลี่ยปกติถึง 1 เท่า เนื่องจากฝนตกหนักและต่อเนื่องหลายวัน โดยมีปริมาณน้ำฝน 530 มิลลิเมตร จากเดิมที่เฉลี่ยถึงเดือนพฤษภาคม จะมีเพียง 260 มิลลิเมตรเท่านั้น หากฝนยังตกต่อเนื่องทุกวันเป็นระยะๆ การระบายน้ำจะทำได้น้อย แม้ว่าจะใช้เครื่องสูบน้ำช่วยเต็มที่แล้วก็ตาม พื้นที่น่าเป็นห่วง คือ เขตหนองบอน ทุ่งครุ บางขุนเทียน และเขตทวีวัฒนา ส่วนพื้นที่เศรษฐกิจบริเวณสีลม สาทร หรือสุขุมวิทนั้น ไม่น่าเป็นห่วงเพราะเป็นถนนช่วงสั้นๆ จะมีน้ำกักขังสักพักก็สามารถระบายได้หมด
 ส่วนเรื่องการพยากรณ์ว่าจะมีน้ำท่วมใหญ่ในปี 2563 นั้น นายชาญชัยยอมรับว่ามีการคาดเดาจากหลายสถาบัน แต่ก็ไม่รู้ว่าเหตุการณ์จริงจะเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตามได้เตรียมป้องกันน้ำท่วมตามโครงการพระราชดำริแก้มลิง จากเดิมที่มี 20 แห่งในกรุงเทพฯ ปีนี้จะสร้างเพิ่มอีก 6 แห่ง คือ บึงสะแกงามสามเดือน บึงมะขามเทศ บึงหมู่บ้านสัมมากร บึงหมู่บ้านเมืองทองการ์เด้น บึงหมู่บ้านเมืองทอง 2/2 บึงหมู่บ้านศุภาลัย 1 รวมถึงการสร้างประตูระบายน้ำและสถานีสูบน้ำเพิ่มเติม
ทำไม??ที่ดินในที่ราบสูงโคราชถึงมีคนเข้ามาซื้อกันเยอะ
สภาพที่ดินโดยรวมในแถบนี้จะอยู่บนที่ราบในหุบเขาส่วนใหญ่แล้วไม่อยู่ในรอยเลื่อนของเปลือกโลกที่มีการขยับตัวได้แก่พื้นที่ในเขตแนวเขาใหญ่ ปักธงชัย ปากช่องและสีคิ้วซึ่งเป็นแนวเขาจากดงพญาเย็นไปบรรจบกับเนวเขาเพชรบูรณ์ตอนใต้ ระยะความสูงจากระดับน้ำทะเลเริ่มตั้งแต่ 500 เมตรถึง 1500 เมตรโดยเฉพาะที่ดินด้านหลังเขื่อนลำตะคลอง อำเภอสีคิ้วซึ่งเป็นแนวเขาที่เชื่อมต่อมาจากเขาใหญ่(ดงพญาเย็น)ข้ามพาดผ่านเขาพริก เขากระโดน หนองน้ำใส และดอนเมืองซึ่งมี่ที่ราบลุ่มและหมู่บ้านต่างๆอาศัยอยู่จำนวมมากซึ่งปัจจุบันมีการซื้อขายที่ดินกันมากรวมทั้งโรงแรมระดับ 5ดาว เช่นPositona และบ้านไร่จอมทองหริอตะวันแดงรีสอร์ทรวมทั้งโฮมเสตย์ผาบุคคาปัจจุบันราคาซื้อขายในโชนด้านนอกใกล้คลองไผ่ราคาสูงมากไร่ละ 80000-700000 บาทแล้วส่วนด้านหลังต ดอนเมืองซึ่งอยู่ท้ายสุดจะเป็นที่ดินที่สวยแต่ราคายังถูกอยู่สนใจเข้าไปดูที่ดินได้อย่างน้อยก็เพื่อมีไว้ยามที่ฉุกเฉินบ้านหลังที่สองถ้ามีกำลังพอน่าจะเตรียมไว้เพราะโลกเรามันเปลี่ยนแปลงไปไม่แน่นอน



วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2553

กฎหมายที่ดินที่ควรรู้กับเอกสารสิทธิ์ ภบท 5,สธก นสล และ สปก หมายถึงอะไร?

สิ่งแรกควรรู้ความหมายของเอกสารในที่ดินของรัฐก่อนว่ามีกี่ประเภทเพื่อก่อนที่จะเข้าไปซื้อที่ดินประเภทนี้ควรเข้าใจและต้องยอมรับความเสี่ยงได้เพราะ ที่ดินเหล่านี้จะถูกนำมาขายสิทธิการครอบครองต่อนั้นอาจจะเป็นสาเหตุเพียงเพราะเกษตรกรที่ได้รับสิทธิเหล่านี้บริหารการจัดการที่ผิดพลาดมีหนี้สินที่เกิดจากที่ดินเช่นการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน ของธนาคารของรัฐ ที่ดินเหล่านี้ในการทำเกษตรกรรม ที่สะสมมานานเลยต้องการขายสิทธิการเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินที่ได้รับมาให้แก่บุคลอื่นสามารถกระทำได้***ผู้ซื้อและผู้ขาย ควรเข้าใจเรื่องกฎหมายที่ดินสปก ด้วยเพราะหากทางสำนักงานปฏิรูปที่ดิน ทราบว่ามีการซื้อขายสิทธิกัน นั้น ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายมีความผิดกันทั้งคู่ในคดีอาญา โดยการให้เช่าสิทธิหรือการเข้าร่วมทำประโยชน์ร่วมกันแต่กรรมสิทธิยังคงเป็นของรัฐ  ในที่ดินประเภท ภบท 5 หากมีการครอบครองสิทธิมานานแล้ว ควรจะไปแสดงสิทธิเพื่อขอออกเอกสารสิทธิในที่ดินนั้นๆ ให้เรียบร้อยเพราะถ้าไม่ไปขึ้นสิทธิ และหากที่ดินอยู่ในเขตของป่าไม้หรืออุทยานมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกริบมาเป็นของรัฐ เพื่อปลูกป่าต่อไป โดยสามารถไปตรวจสอบสิทธิการตั้งอยู่ของที่ดินได้ที่สำนักงานปฏิรูปที่ดิน หรือสำงานกรมป่าไม้ทุกจังหวัดก่อนการตัดสินใจเข้าไปซื้อหรือดูที่ดินจะได้ไม่เสียเวลาเสียเงิน เพราะการเข้าไปครอบครองสิทธิในพื้นดินไม่ใช่กรรมสิทธิในที่ดิน


เอกสารแสดงสิทธิในที่ดินของรัฐ


เอกสารแสดงสิทธิในที่ดิน
                 ภ.บ.ท.5  แบบเสียภาษีบำรุงท้องที่  เป็นหลักฐานการเสียภาษีที่ดิน ไม่ใช่เอกสารแสดงสิทธิในที่ดินแต่อย่างใด  ออกโดยที่ว่าการอำเภอและองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นเป็นการจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่ตามมาตรา 6 กระทรวงมหาดไทยเท่านั้นสำหรับทุกประเภทที่ดินที่อยู่ในความดูแลขององค์การบริหารส่วนตำบล ไม่ใช่เอสารสิทธิซึ่งจะออกให้กับเอกสารสิทธิในที่ดินประเภท สปก 4-01 นส 3 ก โฉนดที่ดิน และ ภบท 5 ที่ต้องเสียภาษี เช่น ที่ดินส่วนทรัพย์พระมหากษัตริย์ ที่ดิน ราชพัสดุ ที่ดินของสหกรณ์ การเกษตร ปตุสัตว์ หรือ พื้นที่ชั่วคราวของกรมป่าไม้เป็นต้น
                ส.ท.ก.  เอกสารแสดงสิทธิทำกิน เป็นเอกสารสิทธิที่ออกโดยกรมป่าไม้ ที่ออกให้เอกชนเพื่ออนุญาตให้อาศัยและเข้าทำประโยชน์เป็นการชั่วคราวในเขตป่าไม้ ซึ่งหากที่ดินแปลงดังกล่าวไม่ได้อยู่ใน โชน ซี (เขตป่าไม้) เป็นเขตเสื่อมโทรม โซน อี อยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน ก็ควรไปขึ้นสิทธิที่สปก จังหวัดนั้นๆ
                น.ส.ล.  หนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เป็นหนังสือแสดงสิทธิในการขอใช้ประโยชน์หรือร่วมกันใช้ที่ดินในเขตราชพัสดุหรือเขตสาธารณประโยชน์  ออกโดยกรมที่ดิน  เป็น เอกสารสิทธิแสดงแนวเขตที่ดินของรัฐ โดยอาจจะออกเป็นแปลงใหญ่รวมกันและระบุชื่อหน่วยงานที่ใช้ประโยชน์ไว้ได้
                ส.ป.ก.๔-๐๑ หนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เป็นหนังสือแสดงสิทธิในถือครองที่ดินและเข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมออกโดยสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม  ซึ่งผู้มีชื่อในเอกสาร ส.ป.ก.๔-๐๑ เป็นผู้มีสิทธิถือครองที่ดินและเข้าทำประโยชน์ในทีดินของรัฐในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมในแปลงดังกล่าวนั้น การเสียภาษีที่องค์การบริหารส่วนตำบลจะได้รับใบ ภบท 5 แนบมาด้วยพร้อมใบเสร็จสีชมพู  ควรเข้าใจเพราะมีการอ้างสิทธิแอบขายที่ดินสปก โดยใช้เฉพาะใบภบท 5 มาเพียงอย่างเดียว
                ก.ส.น.๕ หนังสือแสดงการทำประโยชน์ในเขตนิคมสหกรณ์ เป็นหนังสือแสดงสิทธิในถือครองที่ดินและเข้าทำประโยชน์ในเขตนิคมสหกรณ์ซึ่งเป็นที่ดินของรัฐ ตามพ.ร.บ.จัดรูปที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.๒๕๑๑ เสียภาษีที่ดินในรูปแบบ ภบท 5 แต่หากมีการยกเลิกการจัดเก็บไปก็ไม่ต้องกังวลเพราะที่ดินไม่ได้อยู่ในเขตของป่าไม้ เเป็นเขตสหกรณ์ บริหารจักดการโดยสหกรณ์ เพียงแต่การซื้อขายไม่เป็นที่รับรอง
                น.ค. ๓ หนังสือแสดงการเข้าทำประโยชน์ในเขตนิคมสร้างตนเองเป็นหนังสือแสดงสิทธิในถือครองที่ดินและเข้าทำประโยชน์ในเขตนิคมสร้างตนเองซี่งเป็นที่ดินของรัฐ  ตามพ.ร.บ.จัดรูปที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.๒๕๑๑  ออกโดยกรมประชาสงเคราะห์
                หนังสืออนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐเป็นการชั่วคราว ตามนโยบายการแก้ไขปัญหาความยากจน เป็นหนังสือแสดงสิทธิการอาศัยและเข้าทำประโยชน์ชั่วคราวในที่สาธารณประโยชน์ อนุญาตให้อาศัยและเข้าทำประโยชน์ได้คราวละ ๕ ปี โดย  ศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจนส่งเรื่องให้ สำนักงานที่ดิน


ตัวอย่าง คำพิพากษาที่แสดงถึงความแตกต่างของทรัพย์สินของแผ่นดินธรรมดากับสาธารณสมบัติของแผ่นดิน

ทรัพย์สินของแผ่นดินธรรมดากับสาธารณสมบัติของแผ่นดิน


คำพิพากษาที่แสดงถึงความแตกต่างของทรัพย์สินของแผ่นดินธรรมดากับสาธารณสมบัติของแผ่นดิน

                เมื่อกล่าวถึงที่ดินของรัฐ  ส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าหมายถึงสาธารณสมบัติของแผ่นดินเพียงอย่างเดียว  โดยไม่ได้คำนึงถึงที่ดินที่เป็นทรัพย์สินของแผ่นดินธรรมดาหรือที่ดินที่รัฐถือครองอย่างเจ้าของกรรมสิทธิ์  ดังนั้น  เพื่อให้เห็นความชัดเจนของประเภทที่ดินของรัฐ  จึงได้ศึกษาคำพิพากษาศาลฎีกา เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าที่ดินของรัฐประเภททรัพย์สินของแผ่นดินธรรมดามีลักษณะที่แตกต่างจากที่ดินที่ของรัฐที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน  เพื่อนำไปสู่ความเข้าใจในการนำหลักกฎหมายมาใช้ในที่ดินของรัฐแต่ละประเภทต่อไป ดังนี้
-------------------------------------------------------------
1. ที่ดินของรัฐเป็นทรัพย์นอกพาณิชย์จริงหรือไม่
--------------------------------------------------------------
                คำพิพากษาฎีกาที่ 1159/2511
                ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 8 วรรคแรกนั้น มีความหมายว่า บรรดาที่หลวงทั้งหลายซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 ก็ดี หรือที่ดินอันเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินตามธรรมดาไม่ไช่ทรัพย์นอกพาณิชย์ และไม่ใช่ทรัพย์ที่จะถือเอาหรือโอนกันไม่ได้เหล่าหนี้ก็ดี ถ้าไม่มีกฎหมายพิเศษได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นแล้ว ก็เป็นอำนาจหน้าที่ของอธิบดีกรมที่ดินดูแลรักษาและดำเนินการคุ้มครองป้องกัน เว้นแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะมอบหมายให้ทบวงการเมืองอื่นเป็นผู้ใช้ก็ได้...
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2424/2542
ทรัพย์สินของแผ่นดินมี 2 ประเภท คือ  ทรัพย์สินของแผ่นดินธรรมดาซึ่งเป็นของรัฐ กับสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งมีลักษณะสำคัญอยู่ที่ว่าใช้เพื่อสาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน ฉะนั้น ทรัพย์สินของแผ่นดินที่จะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่นั้น จึงขึ้นอยู่กับสภาพของทรัพย์สินนั้นเองว่าได้ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันหรือไม่…
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 244/2545
ทรัพย์ของแผ่นดินจะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสภาพของตัวทรัพย์นั้นว่าราษฎรได้ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันหรือไม่ ….
บทวิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่กล่าวมาข้างต้น  แสดงให้เห็นว่า ที่ดินของรัฐมี 2 ประเภท  ดังนี้
(1) ที่ดินของรัฐที่เป็นทรัพย์สินของแผ่นดินธรรมดา หรือที่ดินที่รัฐถือครองอย่างเจ้าของกรรมสิทธิ์ ซึ่งมิใช่ทรัพย์
       นอกพาณิชย์
(2)  ที่ดินของรัฐที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน หรือที่ดินของรัฐที่ใช้หรือสงวนไว้ เพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน
       หรือเพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกัน โดยเป็นทรัพย์นอกพาณิชย์
ที่ดินของรัฐ จะเป็นทรัพย์นอกพาณิชย์หรือไม่ คงต้องพิจารณาจากลักษณะสภาพของที่ดินว่ารัฐถือครองที่ดินในลักษณะใด หากที่ดินของรัฐถูกใช้หรือสงวนไว้อย่างสาธารณสมบัติของแผ่นดินก็จะกลายเป็นทรัพย์นอกพาณิชย์  หากที่ดินที่รัฐถือครองไว้อย่างเจ้าครองกรรมสิทธิ์ที่สามารถจำหน่าย  จ่าย โอนการครอบครองได้  ก็จะมิใช่ทรัพย์นอกพาณิชย์
------------------------------------------------------------------------------------------------
2. ที่ราชพัสดุเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินธรรมดาหรือสาธารณสมบัติของแผ่นดิน?
-------------------------------------------------------------------------------------------------
                คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 824 - 825/2511
                ที่ราชพัสดุได้เคยใช้เป็นที่ปลูกสร้างโรงงานฆ่าสัตว์แต่เลิกไป ปัจจุบันใช้เป็นที่ปลูกบ้านพักนายอำเภอและโรงเก็บ
รถดับเพลิง เป็น ทรัพย์สินของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ โดยใช้เป็นที่ปลูกสร้างสำนักราชการบ้านเมืองอัน
ราชการใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา1304(3) จะโอนแก่กันมิได้ เว้นแต่อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะ หรือพระราชกฤษฎีกาตามมาตรา 1305 เท่านั้น
และจะยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินมิได้ตามมาตรา 1306
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2424/2542
เมื่อข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาปรากฏว่า ที่ดินพิพาทซึ่งบริษัท ช. ยกให้โจทก์ได้ใช้เป็นที่ตั้งโรงเรียนป. และเนื่องจากโจทก์เป็นหน่วยงานของรัฐ ทรัพย์สินของโจทก์ จึงเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน ประเภทสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 จำเลยจึงไม่อาจยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 130
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7742/2548
แม้ตามหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงระบุว่าที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะก็ตาม แต่เมื่อที่ดินพิพาทเป็นที่ราชพัสดุ กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ตาม พ.ร.บ. ที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2518 มาตรา 4 และ 5 ที่ดินพิพาทจึงเป็นเพียงทรัพย์สินของแผ่นดิน มิใช่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตาม ป.พ.พ. มาตรา 1304 (2) (3) ที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ เมื่อจำเลยไม่ยอมออกจากที่ดินพิพาท การกระทำของจำเลยจึงเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 365 (3) ประกอบมาตรา 362
หนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงระบุว่าที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ แต่เมื่อที่ดินพิพาทเป็นที่ราชพัสดุ กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ.2518 มาตรา 4 และ 5 จึงเป็นเพียงทรัพย์สินของแผ่นดิน มิใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 (2) (3) ที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ 
ดังนั้น เมื่อเทศบาลตำบลน้ำพองซึ่งได้รับอนุญาตจากกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ให้ใช้ประโยชน์ที่ดินพิพาท มีหนังสือแจ้งให้จำเลยออกจากที่ดิน จำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวแล้วไม่ยอมออกจากที่ดินพิพาท การกระทำของจำเลยจึงเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ซึ่งอยู่ในความดูแลของเทศบาลน้ำพองโดยปกติสุข เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 (3) ประกอบมาตรา 362           
บทวิเคราะห์คำพิพากษาฎีกา
                คำพิพากษาฎีกาที่ 824 - 825/2511 ได้เกิดขึ้นก่อนมีการบังคับใช้ พ... ที่ราชพัสดุ .. 2518 ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มี
กฎหมายว่าด้วยการปกครองดูแลรักษาที่ราชพัสดุให้เป็นไปโดยมีระเบียบและหลักเกณฑ์ที่แน่นอน ทำให้เกิดปัญหายุ่งยาก
ในทางปฏิบัติ  เนื่องจากสาธารณสมบัติของแผ่นดินย่อมถือเป็นที่ราชพัสดุด้วยเช่นกัน
                ผลการบังคับใช้ ... ที่ราชพัสดุ .. 2518 มาตรา 4[1]  ทำให้ที่ดินของรัฐสำหรับพลเมืองใช้หรือสงวนไว้เพื่อ
ประโยชน์ของพลเมืองใช้ร่วมกัน  ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ตามมาตรา 1304(1) และ(2) ไม่ใช่ที่ราชพัสดุ  แต่
สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ ตามมาตรา 1304  (3) ยังคงถือว่าเป็นที่ราชพัสดุ 
ดังนั้น  ที่ราชพัสดุที่กระทรวงการคลังมีกรรมสิทธิ์ มีทั้งที่ดินของรัฐที่เป็นทรัพย์สินของแผ่นดินธรรมดาที่เป็นทรัพย์ใน
พาณิชย์กับสาธารสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะซึ่งเป็นทรัพย์นอกพาณิชย์ เช่นกัน  ทั้งนี้
ขึ้นอยู่กับสภาพของที่ราชพัสดุนั้น
                อย่างไรก็ตาม  ที่ดินของรัฐที่เป็นทรัพย์ของแผ่นดินในทุกประเภทตกอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 1307 กล่าวคือ ท่านห้ามมิให้ยึดทรัพย์สินของแผ่นดิน ไม่ว่าทรัพย์สินนั้น จะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่





[1] มาตรา 4  ที่ราชพัสดุ หมายความว่า อสังหาริมทรัพย์อันเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินทุกชนิด เว้นแต่ สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ดังต่อไปนี้
(1) ที่ดินรกร้างว่างเปล่า และที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืนหรือทอดทิ้งหรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่นตามกฎหมายที่ดิน
(2) อสังหาริมทรัพย์สำหรับพลเมืองใช้หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ของพลเมืองใช้ร่วมกันเป็นต้นว่า ที่ชายตลิ่ง ทางน้ำ ทางหลวง ทะเลสาบ
          ส่วนอสังหาริมทรัพย์ของรัฐวิสาหกิจที่เป็นนิติบุคคลและขององค์การปกครองท้องถิ่นไม่ถือว่าเป็นที่ราชพัสดุ