นับแต่มีกฎหมายปฏิรูปที่ดินเมื่อปี 2518 มาถึงวันนี้เป็นเวลา 36 ปีแล้ว การออก สปก.4-01 ก็ยังไม่เสร็จสิ้น ยังจะต้องออกกันต่อไป จนกว่าจะครบถ้วนเต็มพื้นที่ตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งสำนักงานปฏิรูปที่ดินก็ได้ดำเนินการอย่างแข็งขันตลอดมาทุกยุคทุกสมัย
เพราะไม่ว่านักการเมืองจะพูดเรื่อง สปก.4-01 หรือไม่พูด สำนักงานปฏิรูปที่ดินก็ยังคงทำหน้าที่ของตนอย่างต่อเนื่องตามอำนาจหน้าที่เหมือนเดิม
ในขณะเดียวกัน สำนักงานปฏิรูปที่ดินก็ได้เล็งเห็นปัญหาพื้นฐานที่สุดของกฎหมายปฏิรูปที่ดิน และได้ตั้งคณะทำงานหรือคณะกรรมการทำการพิจารณาปรับปรุงกฎหมายปฏิรูปที่ดินมาโดยลำดับ ทำต่อเนื่องกันมานับสิบปีแล้ว จนบัดนี้ก็ยังปรับปรุงแก้ไขไม่ได้เลยแม้แต่มาตราเดียว
รัฐบาลแทบทุกยุคทุกสมัยก็เห็นปัญหา และพยายามแก้ปัญหา แม้ในยุครัฐบาลพรรคไทยรักไทย ซึ่ง ส.ส. ส่วนใหญ่ก็เห็นพ้องต้องกันว่าจำเป็นต้องแก้ไขกฎหมาย สปก. เพราะหากเป็นอยู่เช่นนี้ คนไทยในเขตปฏิรูปที่ดินก็จะกลายเป็นทาสติดที่ดิน และแผ่นดิน สปก. จะกลายเป็นแผ่นดินทาสแทนที่จะเป็นแผ่นดินทอง
แต่แม้จะพยายามผลักดันกันสักเท่าใด ทุกยุคทุกสมัยก็ไม่สามารถปรับปรุงแก้ไขกฎหมายปฏิรูปที่ดินได้เลย เพราะติดกำแพงกระแสการเมือง ซึ่งไม่รู้ว่ามาจากไหนเพราะเมื่อสมัยพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลก็กลัวกระแส จึงแก้ไขไม่สำเร็จ มาคราวนี้พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ก็คงกลัวกระแสและแก้ไขไม่สำเร็จอีก ในที่สุดเวรกรรมทั้งหลายก็จะตกได้แก่ประชาชนในเขตปฏิรูปที่ดินตลอดไปชั่วกัลปาวสาน
ต้องเข้าใจก่อนว่าที่ดินในเขตปฏิรูปนั้นไม่ใช่ที่ป่า เพราะที่ป่าคือเขตอุทยานแห่งชาติ เขตป่าอนุรักษ์ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ เขตต้นน้ำลำธาร หรือวนอุทยานทั้งหลายทั้งปวง อยู่ในความรับผิดชอบดูแลของกรมป่าไม้และกรมอุทยาน ซึ่งพิทักษ์หวงแหนที่ดินนั้นสุดชีวิตจิตใจ ไม่มีทางที่จะยอมยกให้ใครโดยง่าย คงเหลือแต่การดูแลรักษาไม่ให้ถูกบุกรุกแผ้วถางเท่านั้น
ส่วนที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินซึ่งเป็นคนละส่วนกับที่ป่านั้นมีอยู่สามลักษณะ คือ
หนึ่ง ที่ดินที่เป็นบ้านเป็นเมืองเป็นชุมชนเต็มรูปแบบมาแต่ก่อน แล้วถูกประกาศให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดินทั้งตำบลหรือทั้งอำเภอ
สอง ที่ดินที่เป็นไร่สวนของราษฎรที่ครอบครองทำกินกันมาแต่ครั้งบรรพบุรุษ แล้วถูกประกาศให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ครอบคลุมไปทั้งตำบลและอำเภอ และ
สาม ที่ดินป่าเสื่อมโทรมที่ราษฎรปกครองทำประโยชน์หมดสภาพป่าและไม่สามารถฟื้นสภาพป่าได้อีก กรมป่าไม้ กรมอุทยาน กรมการปกครอง องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชนเห็นพ้องต้องกันแล้ว จึงเสนอเป็นลำดับชั้นให้คณะรัฐมนตรีลงมติให้โอนที่ดินดังกล่าวไปให้สำนักงานปฏิรูปที่ดินนำไปดำเนินการออกสปก. 4-01
ที่ดินทั้งสามลักษณะนี้จึงไม่ใช่ที่ป่าตามที่พูดกัน แต่เป็นที่ซึ่งพึงออกเอกสารสิทธิ์ให้แก่ราษฎรเพื่อให้เป็นหลักทรัพย์ ให้เป็นทุนรอน และเปิดโอกาสให้สามารถลงทุนทำกิจการใด ๆ ได้
แต่ปรัชญาทางกฎหมายของกฎหมายปฏิรูปที่ดินเป็นไปเสียอีกทางหนึ่ง คือมีหลักการสำคัญอยู่ 2 ประการ ที่เป็นอุปสรรค กระทั่งมีลักษณะวิปริตผิดนิติปรัชญาโดยทั่วไป คือ
ประการแรก มีบทบังคับว่าที่ดินในเขตปฏิรูปนั้นใช้ทำประโยชน์อย่างอื่นไม่ได้ จะใช้ทำเกษตรกรรมได้อย่างเดียวเท่านั้น
ลองนึกดูเถิดว่าถ้าพื้นที่ใดทั้งตำบลหรือทั้งอำเภอต้องปลูกแต่มันสำปะหลัง มีตลาด ร้านค้า โรงเรียน โรงพยาบาล ปั๊มน้ำมัน โรงแรม หรือโรงพยาบาล หรือธนาคารไม่ได้เลยแล้ว สังคมหรือชุมชนนั้นจะอยู่ได้อย่างไร และอาชีพเกษตรกรรมมันทำให้คนไทยร่ำรวยสุดวิเศษหรือ? จึงต้องบังคับให้ต้องทำแต่เกษตรกรรม ซึ่งรู้กันอยู่ว่านี่คือปมปัญหาความยากจนของคนไทยที่ยังแก้ไขไม่ตกอยู่ในขณะนี้
ลองนึกดูเถิดว่าประชาชนทั้งตำบลหรือทั้งอำเภอที่เขาทำอาชีพมากมายหลายอาชีพ แล้วถูกบังคับให้เลิกอาชีพเหล่านั้น หันไปทำอาชีพเกษตรกรรม ใครเขาจะยินยอม?
ประการที่สอง ผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดิน สปก. จะต้องเป็นคนยากจน ซึ่งเคยได้รับการตีความว่าระดับของความยากจนนั้นหมายถึงไม่มีทรัพย์สินใด ๆ ยกเว้นแต่จอบและเสียม หากมีฐานะดีกว่านี้ แม้แค่มีบ้านสักหลังหนึ่ง มีรถกระบะสักคันหนึ่ง ก็ไม่ใช่คนยากจนตามความหมายของกฎหมายนี้ จะไม่มีคุณสมบัติที่จะอยู่อาศัยในแผ่นดินนี้อีกต่อไป
ในวันนี้ผู้คนที่อยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินซึ่งมีหลากหลายอาชีพและมีหลากหลายฐานะ ทั้งส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ยากจนถึงขนาดที่มีแต่จอบและเสียม จึงขาดคุณสมบัติที่จะได้รับ สปก.4-01 ดังนั้นหยิบยกเรื่อง สปก.4-01 ขึ้นเมื่อใด ไม่ว่าโดยฝ่ายไหนจึงเป็นเรื่องฮือฮาได้ทุกครั้ง และก็เจ็บตัวกันถ้วนทั่วทุกครั้งเหมือนเดิม
เพราะเวลานี้ไม่ว่าฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน รวมทั้งผู้ที่อยู่นอกวงทางการเมืองในพื้นที่ปฏิรูปที่ดิน ล้วนมีคุณสมบัติไม่ครบเงื่อนไขทั้งสองข้อนี้ทั้งสิ้น
ดังนั้นปมปัญหาแท้จึงอยู่ที่นิติปรัชญาของกฎหมายปฏิรูปที่ดินที่จะต้องได้รับการแก้ไขเพื่อให้แผ่นดินประเทศไทยมีราคา ให้ราษฎรได้เป็นเจ้าของสิทธิ์ เป็นทรัพย์สินและฐานะของราษฎรเหมือนกับพื้นที่อื่น ๆ ที่มีโฉนดที่ดิน ซึ่งจะสร้างรายได้ให้แก่รัฐจากค่าธรรมเนียมอีกด้วย
จึงมีแต่ต้องดำเนินรอยตามพระบรมราโชบายของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ที่ทรงพระราชทานโฉนดที่ดินแก่พสกนิกรของพระองค์ เพื่อให้มีฐานันดรหรือเรียลเอสเตท (Real Estate) เช่นเดียวกับชาวยุโรป.
การแก้ไขปัญหาที่ดินสปก หรือการแก้ไขปัญหาการรุกพื้นที่ป่าที่มีกันมายาวนานแต่เพิ่งจะมาจัดการขั้นเด็ดขาดในขณะที่ปล่อยให้พื้นที่หลายๆๆแห่งในประเทศไทยนี้มันเปลี่ยนแปลงไปแล้วสิ่งที่ทุกฝ่ายควรกระทำ ไม่ใช่ว่า ลงดาบฟันธง..จัดการขั้นเด็ดขาด...ควรหันหน้าเข้าหากันทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น เกษตรกร นายทุน กรมป่าไม้ สปก รัฐบาล ควรหามาตรการที่แก้ไขที่ทำให้ทุกๆๆฝ่ายไม่เสียประโยชน์และที่สำคัญผลประโยชน์ชาติโดยรวมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมก็ไม่สูญเสีย มันเป็นการวางระบบการจัดการการปฏิรูปที่ดินให้เกษตรกรและควร ขยายความของคำว่า " เกษตรกร " ให้กว้างขึ้นเพราะประเทศเราไม่ได้มีรายได้เพียงแค่การเกษตรเชิงเดี่ยวเช่นการปลูก พืชไร่ เพียงอย่างเดียว มีการเกษตร ที่เราสามารถกำหนดแนวทางและวิธีการเพื่อให้การท่องเที่ยวของประเทศเราดีขึ้น ไม่สายหรอกค่ะ เรามานั่งคุยกันวางแนวทางที่ทั้งรัฐและราษฎร ไม่ต้องกลัว กับ กฎหมายบางข้อที่เขียนแล้วมันขัดแย้งกับการปฎิบัติ ผังการจัดการป่าไม้ของประเทศเราที่ไม่มีการวางระบบในแต่เริ่มแรกทุกอย่างรอให้เกิดปัญหาแล้วแก้ไข ..ปฏิรูปที่ดินให้เกษตรกร เพื่ออะไร??เราลองมาอ่านพรบ.การปฎิรูปที่ดินของรัฐเพื่อเกษตรกรรมเพื่อทำ...ความเข้าใจประดับความรู้และประเมินจากสภาพความเป็นจริงกันในขณะที่ที่ดินแถบจังหวัดนครราชสีมาที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญเช่น วังน้ำเขียว เขาใหญ่ ปากช่องหรือที่ดินที่ติดชายทะเลชายหาดที่สวยงามทั่วประเทศไทยที่มีการซื้อขายกันครึกโครมล้วนเป็นที่ดินที่เพื่อการปฎิรูปเพื่อเกษตรกรรมทั้งสิ้นทั้งหลายทั้งปวงขึ้นอยู่ว่า มุมมองของผู้ที่ต้องการมีที่ดินเพื่อะไร?และต้องการทำอะไร?ในขณะเดียวกันที่ผู้ขายเองก็ต้องเปิดใจที่จะคุยกันและไม่หลอกลวงกันเพราะกฎหมายมันก็คือกฎหมายทุกอย่างมันขึ้นอยู่ที่ความพึงพอใจแล้วล่ะกับการที่ต้องการมีที่ดินไว้สักแปลง
พระราชบัญญัติ การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518
มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติการปฎิรูปที่ดินเพื่อ เกษตรกรรม พ.ศ.2518"มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราช กิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา 3 บรรดาบทกฎหมาย กฎและข้อบังคับอื่นในส่วนที่มีบัญญัติไว้แล้ว ในพระราชบัญญัตินี้หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้ใช้พระราช บัญญัตินี้แทน
มาตรา 4 ในพระราชบัญญัตินี้
- "การปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม" หมายความว่า การปรับปรุงเกี่ยวกับ สิทธิและการถือครองในที่ดินเพื่อเกษตรกรรม รวมตลอดถึงการจัดที่อยู่อาศัย ในที่ดินเพื่อเกษตรกรรมนั้นโดยรัฐนำที่ดินของรัฐ หรือที่ดินที่รัฐจัดซื้อหรือเวน คืนจากเจ้าของที่ดิน ซึ่งมิได้ทำประโยชน์ในที่ดินนั้นด้วยตนเอง หรือมีที่ดินเกิน สิทธิตามพระราชบัญญัตินี้ เพื่อจัดให้แก่เกษตรกรผู้ไม่มีที่ดินของตนเองหรือ เกษตรกรที่มีที่ดินเล็กน้อย ไม่เพียงพอแก่การครองชีพและสถาบันเกษตรกรได้ เช่าซื้อ เช่าหรือเข้าทำประโยชน์โดยรัฐให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาอาชีพ เกษตรกรรมการปรับปรุงทรัพยากรและปัจจัยการผลิต ตลอดจนการผลิตและ การจำหน่ายให้เกิดผลดียิ่งขึ้น
- "เขตปฎิรูปที่ดิน" หมายความว่า เขตที่ดินที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเป็น เขตปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
- "ที่ดินของรัฐ" หมายความว่า บรรดาที่ดินทั้งหลายอันเป็นทรัพย์สินของ แผ่นดินหรือสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และ ที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ อนุมัติให้บุคคลเข้าอยู่อาศัยหรือทำประโยชน์ ตามกฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่ง ชาติ
- "เจ้าของที่ดิน" หมายความว่า ผู้มีสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน
- "เกษตรกรรม" หมายความว่า การทำนา ทำไร่ ทำสวน เลี้ยงสัตว์ เลี้ยงสัตว์น้ำ และกิจการอื่นตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
- "เกษตรกร" หมายความว่า ผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก และ ให้ความรวมถึงบุคคลผู้ยากจนหรือผู้จบการศึกษาทางเกษตรกรรม หรือผู้เป็น บุตรของเกษตรกร บรรดาซึ่งไม่มีที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเป็นของตนเองและ ประสงค์จะประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ กำหนดในพระราชกฤษฎีกาด้วย
- "สถาบันเกษตรกร" หมายความว่า กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์การเกษตร ชุมชนสหกรณ์การเกษตรตามกฎหมายว่าด้วยสหกรณ์
- "การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม" หมายความว่า การเช่าหรือการเช่า ช่วงโดยได้รับความยินยอมจากผู้ให้เช่าซึ่งที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ไม่ว่าการ เช่าหรือเช่าช่วงนั้นจะมีหลักฐานเป็นหนังสือหรือไม่ก็ตาม และหมายความรวม ถึงการยินยอมให้ใช้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โดยได้รับค่าเช่าที่ดิน และการทำ นิติกรรมอื่นใดเพื่อเป็นการอำพรางการเช่าดังกล่าว
- "ค่าเช่าที่ดิน" หมายความว่า ผลิตผลเกษตรกรรม เงินหรือทรัพย์สินอื่น ใดซึ่งเป็นค่าตอบแทนการเช่าที่ดิน และหมายความรวมถึงประโยชน์อื่นใดอัน อาจคำนวณเป็นเงินได้ที่ผู้ให้เช่าที่ดิน หรือบุคคลอื่นได้รับเพื่อตอบแทนการให้ เช่าที่ดินทั้งโดยทางตรงหรือทางอ้อม
- "เจ้าของที่ดินผู้ประกอบเกษตรกรรมด้วยตนเอง" หมายความว่า เจ้า ของที่ดินผู้ซึ่งดำเนินการผลิตด้านเกษตรกรรม โดยเป็นผู้ลงทุนและได้ผล ประโยชน์จากการผลิตนั้นโดยตรงและไม่เป็นผู้ให้เช่าที่ดินนั้น
- "บุคคลในครอบครัวเดียวกัน" หมายความว่าคู่สมรสและผู้สืบสันดานที่ยัง ไม่บรรลุนิติภาวะ
- "พนักงานเจ้าหน้าที่" หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการ ตามพระราชบัญญัตินี้
- "คณะกรรมการ"หมายความว่าคณะกรรมการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
- "รัฐมนตรี" หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา 5 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษา การตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่กับออกกฎ กระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ในส่วนที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของ แต่ละกระทรวง
กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
มาตรา 6 ให้จัดตั้งสำนักงานการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมขึ้นใน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการปฎิรูปที่ดินเพื่อ เกษตรกรรมตามพระราชบัญญัตินี้เรียกโดยย่อว่า ส.ป.ก.
มาตรา 7 ให้ส.ป.ก.เป็นทบวงการเมือง มีฐานะเทียบเท่ากรม โดยมี เลขาธิการสำนักงานการปฎิรูปที่ดินเป็นหัวหน้าสำนักงาน
มาตรา 8 ให้ ส.ป.ก. มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตร กรรมตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา 9 ให้จัดตั้งกองทุนขึ้นกองทุนหนึ่ง เรียกว่า กองทุนการปฎิรูปที่ดิน เพื่อเกษตรกรรมในกระทรวงการคลังประกอบด้วยเงินและทรัพย์สินตาม มาตรา 10 เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนและใช้จ่ายเพื่อการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
รายได้ที่ ส.ป.ก.ได้รับจากการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้นำส่งเข้า บัญชีกองทุนการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โดยไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้ แผ่นดิน
การใช้จ่ายเงินของกองทุนการปฎิรูปที่ดิน เพื่อเกษตรกรรมให้กระทำได้ เฉพาะการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดโดยความ เห็นชอบจากกระทรวงการคลัง
ให้กระทรวงการคลังเก็บรักษาเงินของกองทุนการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตร กรรม และเบิกจ่ายเงินจากกองทุนการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเพื่อใช้จ่าย ตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา 10 กองทุนการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประกอบด้วย
- เงินที่ได้รับจากงบประมาณแผ่นดิน
- เงินหรือทรัพย์สินอื่นที่ได้รับจากรัฐบาลหรือจากแหล่งต่างๆ ภายใน ประเทศหรือต่างประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศ หรือบุคคลอื่น
- เงินที่ได้รับจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร ตามกฎหมายว่าด้วย กองทุนสงเคราะห์เกษตรกร
- ดอกผลหรือผลประโยชน์ใด ๆที่ ส.ป.ก. ได้รับเกี่ยวกับการ ดำเนินการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
ในกรณีที่ได้กำหนดเขตปฎิรูปที่ดินเขตหนึ่งเขตใดคลุมที่ดินในเขตของสอง จังหวัดขึ้นไป คณะกรรมการจะมอบหมายให้สำนักงานการปฎิรูปที่ดินจังหวัดใด มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการปฎิรูปที่ดิน เพื่อเกษตรกรรมตลอดเขตปฎิรูปที่ดินนั้นก็ ได้ไม่ว่าจะมีสำนักงานการปฎิรูปที่ดินในจังหวัดที่เกี่ยวข้องนั้นหรือไม่ ให้สำนักงานการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตาม มาตรา 6 ทำหน้าที่สำนัก งานการปฎิรูปที่ดินกรุงเทพมหานครด้วย
มาตรา 12 ให้มีคณะกรรมการปฎิรูปี่ดินเพื่อเกษตรกรรม ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานกรรมการ ปลัด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม อธิบดีกรมชลประทาน อธิบดีกรมปศุสัตว์ อธิบดี กรมป่าไม้ อธิบดีกรมประมง อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน อธิบดีกรมส่งเสริมการ เกษตร อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร อธิบดีกรมการปกครอง อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน อธิบดีกรมที่ดิน อธิบดีกรม ประชาสงเคราะห์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม อธิบดีกรมธนารักษ์ อธิบดี กรมบัญชีกลาง ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตร และสหกรณ์การเกษตร ประธานคณะกรรมการกลางกลุ่มเกษตรกรแห่ง ประเทศไทย และประธานชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทยเป็นกรรม การและกรรมการอื่นอีกไม่เกินเก้าคน ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้แทน เกษตรกรหกคนและผู้ทรงคุณวุฒิไม่เกินสามคน ให้เลขาธิการสำนักงานการ ปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเป็นกรรมการและเลขานุการ
เมื่อได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฎิรูปที่ดินตาม มาตรา 25 ใช้บังคับ ในท้องที่กรุงเทพมหานครแล้ว ให้คณะกรรมการทำหน้าที่คณะกรรมการ ปฎิรูปที่ดินจังหวัดสำหรับกรุงเทพมหานครด้วย
หมายเหตุ ความเดิมในมาตรานี้ได้ยกเลิกไป และให้ใช้ความต่อไปนี้ แทนโดย พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2532 แก้ไขใน มาตรา 5 ซึ่งประกาศในราชกิจจาฯ เล่มที่ 106 ตอนที่ 149 ลงวันที่ 8 กันยายน พ.ศ.2532
มาตรา 13 ให้กรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งตาม มาตรา 12 และ มาตรา 13 มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสองปี
ในกรณีที่มีการแต่งตั้งกรรมการในระหว่างที่กรรมการ ซึ่งแต่งตั้งไว้แล้ว ยังมีวาระอยู่ในตำแหน่ง ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งซ่อมนั้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่ เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้วนั้น
กรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งอาจได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการอีกได้
มาตรา 14 ให้กรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งตาม มาตรา 12 และ มาตรา 13 มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสองปี
ในกรณีที่มีการแต่งตั้งกรรมการในระหว่างที่กรรมการ ซึ่งแต่งตั้งไว้แล้ว ยังมีวาระอยู่ในตำแหน่ง ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งซ่อมนั้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่ เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้วนั้น
กรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งอาจได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการอีกได้
มาตรา 15 กรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งต้องไม่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในสัญญา กับ ส.ป.ก.หรือในกิจการที่กระทำให้แก่ ส.ป.ก. ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรง หรือทางอ้อม
มาตรา 16 นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระตาม มาตรา 14 วรรคหนึ่งกรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ
- ตาย
- ลาออก
- คณะรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีที่มีอำนาจแต่งตั้ง แล้วแต่กรณี ให้ออก
- มีลักษณะต้องห้ามตาม มาตรา 15
ถ้าประธานกรรมการไม่อยู่ในที่ประชุม หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ให้ กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม
มาตรา 18 การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก
กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด
มาตรา 19 ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบในการ กำหนดนโยบาย มาตรการ ข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการปฏิบัติงานการ ปฎิรูปที่ดินของ ส.ป.ก. ตลอดจนการควบคุมการบริหารงานของ ส.ป.ก. รวมทั้งอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบดังต่อไปนี้
- จัดหาที่ดินของรัฐ เพื่อนำมาใช้ในการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
- พิจารณากำหนดเขตปฎิรูปที่ดินตาม มาตรา 25 การจัดซื้อหรือเวนคืน ที่ดินตาม มาตรา 29 และการกำหนดเนื้อที่ที่ดินที่จะให้เกษตรกร หรือสถาบัน เกษตรเช่าระยะยาว หรือเช่าซื้อตาม มาตรา 30
- พิจารณาการกำหนดแผนผัง และการจัดแบ่งแปลงที่ดินในเขตปฎิรูป ที่ดิน
- พิจารณาอนุมัติแผนงาน และโครงการการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตร กรรมตลอดจนงบค่าใช้จ่ายของ ส.ป.ก.เสนอรัฐมนตรี
- พิจารณากำหนดแผนการผลิต และการจำหน่ายผลิตผลเกษตรกรรม ในเขตปฎิรูปที่ดินเพื่อยกระดับรายได้ และคุ้มครองผลประโยชน์ของเกษตรกร หรือสถาบันเกษตรกร
- พิจารณากำหนดแผนการส่งเสริม และบำรุงเกษตรกรรมในเขต ปฎิรูปที่ดินรวมทั้งการจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ปรับปรุงประสิทธิภาพในการ ผลิตและคุณภาพผลิตผลเกษตรกรรมตลอดจนสวัสดิการ การสาธารณูปโภค การศึกษาและการสาธารณสุขของเกษตรกร
- กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการคัดเลือกเกษตรกร และสถาบันเกษตรกรซึ่งจะมีสิทธิได้รับที่ดินจากการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ตลอดจนแบบสัญญาเช่าและเช่าซื้อที่จะทำกับเกษตรกร หรือสถาบันเกษตรกร ผู้ได้รับที่ดิน
- กำหนดระเบียบการให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร ผู้ได้รับที่ดิน จากการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมปฏิบัติเกี่ยวกับการเข้าทำประโยชน์ในที่ดิน และปฏิบัติตามแผนการผลิตและการจำหน่ายผลิตผลเกษตรกรรม
- กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการว่าด้วยการให้เกษตรกรและสถาบัน เกษตรกรในเขตปฎิรูปที่ดินกู้ยืมจากส.ป.ก.ตลอดจนเงื่อนไขของการกู้ยืมโดย อนุมัติรัฐมนตรี
- กำหนดระเบียบเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินและหนี้สินของเกษตร กรและสถาบันเกษตรกรผู้ได้รับที่ดินจากการปฎิรูปที่ดิน เพื่อเกษตรกรรมตลอด จนการควบคุมดูแลกิจการอื่น ๆ ภายในเขตปฎิรูปที่ดิน
- ติดตามการปฏิบัติงานของ ส.ป.ก.ให้เป็นไปตามแผนงานและ โครงการที่ได้รับอนุมัติ ตลอดจนกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น จากการปฏิบัติงาน
- กำหนดกิจการและระเบียบการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน ของ ส.ป.ก.หรือสนับสนุนหรือเกี่ยวเนื่องกับวัตถุประสงค์ของการปฎิรูปที่ดิน เพื่อเกษตรกรรม
- พิจารณาให้ความเห็นชอบแผนงาน โครงการและค่าใช้จ่ายของ สำนักงานการปฎิรูปที่ดินจังหวัด เพื่อเสนอคณะกรรมการ
- ติดตามการปฏิบัติงานของสำนักงานการปฎิรูปที่ดินจังหวัดให้เป็นไป ตามแผนงานและโครงการที่ได้รับอนุมัติตลอดจนดำเนินการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงาน
- พิจารณาผลการปฏิบัติงาน เพื่อปรับปรุงแผนงาน โครงการ งบค่า ใช้จ่ายและวิธีปฏิบัติงานของสำนักงานการปฎิรูปที่ดินจังหวัด
- จัดทำงบประมาณค่าใช้จ่ายตามโครงการการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตร กรรมแต่ละโครงการเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการ
- ดำเนินการเกี่ยวกับการเงินและกิจการอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการปฎิรูป ที่ดิน เพื่อเกษตรกรรมตามระเบียบหรือข้อบังคับหรือมติของคณะกรรมการหรือ ตามที่คณะกรรมการมอบหมาย
- วางระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของสำนักงานการ ปฎิรูปที่ดินจังหวัดเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับระเบียบ หรือข้อบังคับหรือมติของคณะ กรรมการ
การประชุมของอนุกรรมการ ให้นำความใน มาตรา 17 มาใช้บังคับโดย อนุโลม
มาตรา 22 ภายในกำหนด 90 วัน นับแต่วันสิ้นปีงบประมาณทุกปี ให้ รัฐมนตรีประกาศรายงานรับจ่ายเงินของ ส.ป.ก. ในราชกิจจานุเบกษา รายงานการรับจ่ายเงินตามวรรคหนึ่ง เมื่อคณะกรรมการตรวจเงิน แผ่นดินได้ตรวจสอบแล้ว ให้ทำรายงานผลการตรวจสอบเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อเสนอรัฐสภาทราบ
มาตรา 23 ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปตรวจสอบการประกอบ เกษตรกรรม หรือการทำประโยชน์หรือกิจการอื่น ๆ ตามพระราชบัญญัตินี้ใน ที่ดินในเขตปฎิรูปที่ดินในระหว่างเวลาพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก และให้ แสดงบัตรประจำตัวต่อผู้ที่เกี่ยวข้องให้เจ้าของ หรือผู้ครอบครองที่ดินหรือผู้ที่ เกี่ยวข้องอำนวยความสะดวกตามสมควร
บัตรประจำตัวให้เป็นไปตามแบบที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราช กิจจานุเบกษา
มาตรา 24 ให้ประธานกรรมการ กรรมการ อนุกรรมการ เลขาธิการ สำนักงานการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม รองเลขาธิการสำนักงานการปฎิรูป ที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และพนักงานเจ้าหน้าที่ เป็นเจ้าพนักงานตามประมวล กฎหมายอาญา
มาตรา 25 การกำหนดเขตที่ดินในท้องที่ใดให้เป็นเขตปฎิรูปที่ดินให้ตรา เป็นพระราชกฤษฎีกา ในพระราชกฤษฎีกาตามวรรคหนึ่ง ให้มีแผนที่แสดงเขตและระบุท้องที่ที่ อยู่ในเขตปฎิรูปที่ดินแนบท้ายพระราชกฤษฎีกานั้นด้วย แผนที่ดังกล่าวให้ถือเป็น ส่วนหนึ่งแห่งพระราชกฤษฎีกา
"การกำหนดเขตที่ดินให้เป็นเขตปฎิรูปที่ดินตามวรรคหนึ่ง ให้กำหนด เฉพาะที่ดินที่จะดำเนินการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เว้นแต่ในกรณีที่จำเป็น จะถือเขตของตำบลหรืออำเภอเป็นหลักก็ได้ โดยให้ดำเนินการกำหนดเขต ปฎิรูปที่ดินในเขตท้องที่อำเภอที่มีเกษตรกรผู้ไม่มีที่ดินประกอบเกษตรกรรมเป็น ของตนเอง หรือมีที่ดินเล็กน้อยไม่เพียงพอแก่การครองชีพ หรือต้องเช่าที่ดิน ของผู้อื่นประกอบเกษตรกรรมอยู่เป็นจำนวนมาก ตลอดจนที่มีผลผลิตต่อไร่ต่ำ เป็นเกณฑ์ในการจัดอันดับความสำคัญในการกำหนดเขตก่อนหลัง ในกรณีที่ถือ เขตของตำบลหรืออำเภอเป็นเขตปฎิรูปที่ดินนั้น ให้หมายถึงเฉพาะที่ตั้งอยู่นอก เขตเทศบาลและสุขาภิบาล"
ให้ดำเนินการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมโดยมิชักช้า และให้ดำเนินการ สำรวจที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และวางโครงการเพื่อดำเนินการปฎิรูปที่ดินเพื่อ เกษตรกรรมในท้องที่ทุกจังหวัดทั่วราชอาณาจักรให้เสร็จภายในสามปีนับแต่วัน ที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
หมายเหตุ ความเดิมในวรรคสามนี้ได้ยกเลิกไป และให้ใช้ความต่อไป นี้แทนโดย พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2532 แก้ไขใน มาตรา 6 ซึ่งประกาศในราชกิจจาฯ เล่มที่ 106 ตอนที่ 149 ลงวันที่ 8 กันยายน พ.ศ.2532
มาตรา 25ทวิ ถ้าที่ดินที่ ส.ป.ก.ได้มาเป็นแปลงเล็กแปลงน้อยและมิได้ อยู่ในเขตปฎิรูปที่ดินให้ ส.ป.ก.มีอำนาจจัดที่ดินนั้นให้กับเกษตรกรหรือสถาบัน เกษตรกรได้ตาม มาตรา 30 เสมือนว่าเป็นที่ดินในเขตปฎิรูปที่ดิน โดยไม่ต้อง ดำเนินการกำหนดเขตที่ดินในท้องที่นั้นให้เป็นเขตปฎิรูปที่ดิน มาตรา 25
หมายเหตุ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น มาตรา 25ทวิ โดย พ.ร.บ.แก้ไข เพิ่มเติมพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม(ฉบับที่ 3) พ.ศ.2532 แก้ไขใน มาตรา 7 ซึ่งประกาศในราชกิจจาฯ เล่มที่ 106 ตอนที่ 149 ลงวันที่ 8 กันยายน พ.ศ.2532
มาตรา 26 เมื่อได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฎิรูปที่ดินใช้บังคับใน ท้องที่ใดแล้ว
- ถ้าในเขตปฎิรูปที่ดินนั้นมีที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับ พลเมืองใช้ร่วมกันแต่พลเมืองเลิกใช้ประโยชน์ในที่ดินนั้น หรือได้เปลี่ยนแปลง สภาพจากการเป็นที่ดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันก็ดี หรือพลเมืองยังใช้ ประโยชน์ในที่ดินนั้นอยู่หรือยังไม่เปลี่ยนสภาพจากการเป็นที่ดินสำหรับพลเมือง ใช้ร่วมกันเมื่อได้จัดที่ดินแปลงอื่นให้พลเมืองใช้ร่วมกันแทน โดยคณะกรรมการ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วก็ดี ให้พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฎิรูป ที่ดินนั้นมีผล เป็นการถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับที่ดิน ดังกล่าวโดยมิต้องดำเนินการถอนสภาพตามประมวลกฎหมายที่ดิน และให้ ส.ป.ก.มีอำนาจนำที่ดินนั้นมาใช้ในการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้
- ถ้าในเขตปฎิรูปที่ดินนั้นมีที่ดิน อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ หรือที่ดินที่ได้สงวนหรือหวง ห้ามไว้ตามความต้องการของทางราชการ เมื่อกระทรวงการคลังได้ให้ความ ยินยอมแล้วให้พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฎิรูปที่ดินนั้นมีผลเป็นการถอนสภาพ การเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับที่ดินดังกล่าวโดยมิต้องดำเนินการ ถอนสภาพตามกฎหมายว่าด้วยที่ราชพัสดุและให้ ส.ป.ก.มีอำนาจนำที่ดินนั้นมา ใช้ในการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้
- ถ้าในเขตปฎิรูปที่ดินนั้นมีที่ดิน อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่ง เป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่า หรือที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืนหรือทอดทิ้ง หรือกลับมาเป็น ของแผ่นดินโดยประการอื่นตามกฎหมายที่ดินและที่ดินนั้นอยู่นอกเขตป่าไม้ถาวร ตามมติคณะรัฐมนตรีให้ ส.ป.ก.มีอำนาจนำที่ดินนั้นมาใช้ในการปฎิรูปที่ดินเพื่อ เกษตรกรรมได้
- ถ้าเป็นที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติให้ ดำเนินการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมในที่ดินเขตป่าสงวนแห่งชาติส่วนใดแล้ว เมื่อ ส.ป.ก.จะนำที่ดินแปลงใดในส่วนนั้นไปดำเนินการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตร กรรม ให้พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฎิรูปที่ดินมีผลเป็นการเพิกถอนป่าสงวน แห่งชาติ
หมายเหตุ ความเดิมใน มาตรานี้ได้ยกเลิกไป และให้ใช้ความต่อไปนี้ แทนโดย พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2532 แก้ไขใน มาตรา 8 ซึ่งประกาศในราชกิจจาฯ เล่มที่ 106 ตอนที่ 149 ลงวันที่ 8 กันยายน พ.ศ.2532
มาตรา 27 เมื่อได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฎิรูปที่ดินใช้บังคับใน ท้องที่ใดแล้ว ภายในเขตปฎิรูปที่ดิน ให้พนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งปฏิบัติงาน ร่วมกับพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจดังต่อไปนี้
- เข้าไปทำการอันจำเป็นเพื่อการสำรวจรังวัดได้แต่ต้องแจ้งให้เจ้า ของหรือผู้ครอบครองที่ดินทราบเสียก่อน
- ทำเครื่องหมายขอบเขต หรือแนวเขตโดยปักหลักหรือขุดร่องแนว ในกรณีที่ต้องสร้างหมุดหลักฐานการแผนที่ในที่ดินของผู้ใด ก็ให้มีอำนาจสร้าง หมุดหลักฐานลงได้ตามความจำเป็น
ให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดิน และผู้ที่เกี่ยวข้องอำนวยความสะดวก ตามสมควร
มาตรา 28 ภายในระยะเวลาสามปี นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกากำหนด เขตปฎิรูปที่ดินตาม มาตรา 25 ใช้บังคับ ห้ามมิให้ผู้ใดจำหน่ายด้วยประการใดๆ หรือก่อให้เกิดภาระติดพันใด ๆ ซึ่งที่ดินในเขตปฎิรูปที่ดิน เว้นแต่ได้รับอนุญาต เป็นหนังสือจากคณะกรรมการหรือผู้ซึ่งคณะกรรมการมอบหมาย
ในกรณีที่ ส.ป.ก.จัดซื้อหรือดำเนินการเวนคืนที่ดินนั้น ถ้ามีการกระทำ อันเป็นการฝ่าฝืนความในวรรคหนึ่ง และเป็นทรัพย์สินหรือสิ่งที่ก่อให้เกิดความ เสียหายหรือกีดขวางการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้คณะกรรมการหรือผู้ซึ่ง ได้รับมอบหมาย จากคณะกรรมการมีอำนาจสั่งเป็นหนังสือให้เจ้าของหรือผู้ ครอบครองที่ดินทำการรื้อถอนเสียได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด ถ้าเจ้าของ หรือผู้ครอบครองที่ดินไม่ปฏิบัติตาม ให้คณะกรรมการหรือผู้ซึ่งคณะกรรมการ มอบหมาย มีอำนาจดำเนินการรื้อถอนโดยเจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดิน ดังกล่าวจะเรียกร้องค่าเสียหายมิได้ และต้องเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนนั้นด้วย
มาตรา 29 ในเขตปฎิรูปที่ดิน เมื่อคณะกรรมการพิจารณาเห็นว่า ที่ดิน บริเวณใดสมควรดำเนินการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ให้ ส.ป.ก.มีอำนาจ จัดซื้อหรือดำเนินการเวนคืนที่ดินได้ ดังต่อไปนี้
(1) ที่ดินแปลงเดียวหรือหลายแปลงมีเนื้อที่รวมกันเกินกว่าห้าสิบไร่ ซึ่ง บุคคลในครอบครัวเดียวกันไม่ว่าคนหนึ่ง หรือหลายคนเป็นเจ้าของที่ดินผู้ ประกอบเกษตรกรรมด้วยตนเองให้ส.ป.ก.มีอำนาจจัดซื้อหรือดำเนินการเวน คืนที่ดินส่วนที่เกินกว่าห้าสิบไร่
(2) ถ้าที่ดินดังกล่าวใน (1) มีเนื้อที่รวมกันเกินกว่าหนึ่งร้อยไร่ และ เจ้าของที่ดินผู้ประกอบเกษตรกรรม ด้วยตนเองใช้เพื่อการเลี้ยงสัตว์จำพวก สัตว์ใหญ่ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดชนิด จำนวน และเงื่อนไขในราชกิจจา นุเบกษาให้ ส.ป.ก.มีอำนาจจัดซื้อหรือดำเนินการเวนคืนที่ดินส่วนที่เกินกว่า หนึ่งร้อยไร่
ถ้าเจ้าของที่ดินรายใด มีความประสงค์จะประกอบเกษตรกรรมด้วย ตนเองในที่ดินเกินกว่าตามที่กล่าวไว้ใน (1) หรือ (2) และแสดงได้ว่าตน ได้ประกอบเกษตรกรรมในที่ดินด้วยตนเองเกินกว่าที่กล่าวไว้ใน (1) หรือ (2) อยู่แล้วไม่ต่ำกว่าหนึ่งปีก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ และแสดงได้ว่าตน มีความสามารถและมีปัจจัยที่จะทำที่ดินนั้นให้เป็นประโยชน์ทางเกษตรกรรมได้ ทั้งตนจะเป็นผู้ประกอบเกษตรกรรมในที่ดินนั้นด้วยตนเอง ให้ยื่นคำร้องต่อ พนักงานเจ้าหน้าที่พร้อมทั้งแสดงหลักฐานอ้างอิงประกอบคำร้อง เพื่อพนักงาน เจ้าหน้าที่ได้สอบสวนแล้ว ให้รายงานต่อคณะกรรมการ ถ้าคณะกรรมการเห็น สมควรอนุญาตก็ให้กำหนดเงื่อนไขในการอนุญาตเสนอรัฐมนตรีพิจารณา หาก รัฐมนตรีเห็นชอบก็ให้อนุญาตให้ผู้ร้องขอนั้นมีสิทธิในที่ดินนั้นต่อไป แต่ต้อง ไม่เกินหนึ่งพันไร่ ในกรณีที่ผู้ร้องขอได้รับสิทธิในที่ดินดังกล่าวไม่ ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด ให้ ส.ป.ก. มีอำนาจจัดซื้อหรือ ดำเนินการเวนคืนที่ดินที่ได้รับเพิ่มขึ้นนั้น เพื่อใช้ในการปฎิรูปที่ดิน เพื่อเกษตรกรรมต่อไป
ในกรณีที่เจ้าของที่ดินรายใด ได้แสดงว่าตนได้ประกอบเกษตรกรรมใน ที่ดินด้วยตนเองเกินกว่าหนึ่งพันไร่อยู่แล้ว ไม่ต่ำกว่าหนึ่งปีก่อนวันที่พระราช บัญญัตินี้ใช้บังคับ และมีความประสงค์จะประกอบเกษตรกรรมด้วยตนเองใน ที่ดินนั้นต่อไป ให้คณะกรรมการพิจารณาตามหลักเกณฑ์ต่อไปนี้
- ได้ลงทุนในกิจกรรมเกษตรในที่ดินนั้นไปแล้วเป็นจำนวนมากและการ ลงทุนนั้นได้กระทำไปด้วยการส่งเสริมของรัฐ
- เป็นการประกอบการเพื่อพัฒนาวิทยาการเกษตรแผนใหม่ หรือที่ยังมี ความต้องการอยู่มากมายในประเทศหรือเพื่อการส่งออก
- ในการที่จะประกอบกิจการได้ต่อไปนั้นจะต้องมีลักษณะที่ช่วยพัฒนาการ เกษตร และช่วยเหลือเกษตรกรในด้านปัจจัยการผลิตเพื่อส่งเสริมผลผลิตการ เกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตรได้อย่างกว้างขวางในเรื่องการสาธิตและ เป็นตลาดรับซื้อผลิตผลเกษตรกรรมจากเกษตรกรโดยตรง
- เมื่อพ้นสิบห้าปี หากสถาบันเกษตรกรมีความต้องการและสามารถที่ จะเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการนั้น เจ้าของที่ดินต้องยินยอมให้สถาบันเกษตรกรถือหุ้น ในกิจการนั้นไม่น้อยกว่าร้อยละหกสิบของจำนวนหุ้นทั้งหมดทั้งนี้ ให้เป็นไปตาม วิธีการและรายละเอียดที่คณะกรรมการกำหนด
(3) ที่ดินแปลงใดถ้าเจ้าของไม่ได้ใช้ที่ดินประกอบเกษตรกรรมด้วย ตนเองหรือมิได้ใช้ประกอบเกษตรกรรมอย่างใดหรือประกอบเกษตรกรรมเล็ก น้อย หรือประกอบเกษตรกรรมบางส่วนเพียงเป็นการแสดงสิทธิในที่ดิน ให้ ส.ป.ก. มีอำนาจจัดซื้อหรือดำเนินการเวนคืนที่ดินนั้นได้ในส่วนที่เกินกว่ายี่สิบ ไร่
ถ้าเจ้าของที่ดินตาม (3) มีความประสงค์จะประกอบเกษตรกรรมด้วย ตนเอง และแสดงได้ว่าตนมีความสามารถและมีปัจจัยที่จะทำที่ดินนั้นให้เป็น ประโยชน์ทางเกษตรกรรมได้ทั้งตน จะเป็นผู้ประกอบเกษตรกรรมในที่ดินนั้น ด้วยตนเอง ให้ยื่นคำร้องต่อพนักงานเจ้าหน้าที่พร้อมทั้งแสดงหลักฐานอ้างอิง ประกอบคำร้อง เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้สอบสวนแล้ว ให้รายงานต่อคณะ กรรมการหรือผู้ซึ่งคณะกรรมการมอบหมายเพื่อพิจารณาอนุญาตให้ผู้ร้องขอนั้นมี สิทธิในที่ดินต่อไป ตามขนาดใน (1) หรือ (2)แล้วแต่กรณี และให้คณะกรรม การกำหนดเงื่อนไขในการอนุญาต ในกรณีผู้ได้รับสิทธิในที่ดินดังกล่าวไม่ปฏิบัติ ตามเงื่อนไข ให้ ส.ป.ก.มีอำนาจจัดซื้อหรือดำเนินการเวนคืนที่ดินนั้นเพื่อใช้ ในการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมต่อไป
"ในการรับซื้อที่ดินตาม มาตรานี้ ถ้าเจ้าของที่ดินประสงค์จะขายที่ดินของ ตนให้ทั้งหมด ก็ให้ ส.ป.ก.มีอำนาจจัดซื้อได้"
บทบัญญัติใน มาตรานี้มิให้ใช้บังคับแก่ที่ดินบรรดาที่เป็นของทบวงการเมือง องค์การของรัฐ รัฐวิสาหกิจ สถาบันเกษตรกร หรือที่ดินตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
หมายเหตุ มาตรานี้ให้เพิ่มความในวรรคสามต่อไปนี้ โดย พ.ร.บ.แก้ไข เพิ่มเติมพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม(ฉบับที่ 3) พ.ศ.2532 แก้ไขใน มาตรา 9 ซึ่งประกาศในราชกิจจาฯ เล่มที่ 106 ตอนที่ 149 ลงวันที่ 8 กันยายน พ.ศ.2532
มาตรา 30 บรรดาที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ ส.ป.ก.ได้มา ให้ส.ป.ก. มีอำนาจจัดให้เกษตรกร หรือสถาบันเกษตรกรได้ตามหลักเกณฑ์วิธีการและ เงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด ทั้งนี้ ตามขนาดการถือครองในที่ดินดังกล่าว ต่อไปนี้
- จำนวนที่ดินไม่เกินห้าสิบไร่สำหรับเกษตรกรและบุคคลในครอบครัว เดียวกัน ซึ่งประกอบเกษตรกรรมอย่างอื่นนอกจากเกษตรกรรมเลี้ยงสัตว์ใหญ่ ตาม (2)
- จำนวนที่ดินไม่เกินหนึ่งร้อยไร่ สำหรับเกษตรกรและบุคคลในครอบ ครัวเดียวกัน ซึ่งใช้ประกอบเกษตรกรรมเลี้ยงสัตว์ใหญ่ตามที่รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประกาศกำหนด
- จำนวนที่ดินที่คณะกรรมการเห็นสมควร สำหรับสถาบันเกษตรกร ทั้งนี้โดยคำนึงถึงประเภทและลักษณะการดำเนินงานของสถาบันเกษตรกรนั้นๆ
บรรดาที่ดินที่ ส.ป.ก.ได้มา ถ้าเป็นที่ดินของรัฐและมีเกษตรกรถือครอง อยู่แล้วเกินจำนวนที่กำหนดในวรรคหนึ่งก่อนเวลาที่คณะกรรมการกำหนด เมื่อ เกษตรกรดังกล่าวยื่นคำร้องและยินยอมชำระค่าเช่า หรือค่าชดเชยที่ดินใน อัตราหรือจำนวนที่เพิ่มขึ้น ตามที่คณะกรรมการกำหนด สำหรับที่ดินส่วนที่เกิน ตามวรรคหนึ่งให้คณะกรรมการจัดที่ดินให้เกษตรกรเช่าหรือจัดให้ แล้วแต่กรณี ตามจำนวนที่เกษตรกรถือครองได้ แต่เมื่อรวมกันแล้วต้องไม่เกินหนึ่งร้อยไร่ ในการกำหนดอัตราค่าเช่าหรือค่าชดเชยที่ดินดังกล่าว ต้องคำนึงถึงระยะ เวลาและวิธีการที่เกษตรกรได้ที่ดินนั้นมา ความสามารถในการทำประโยชน์ ประเภทของเกษตรกรรม และการทำประโยชน์ที่ได้ทำไว้แล้วในที่ดินนั้น
ในการจัดที่ดินให้เกษตรกรตามวรรคสามถ้าเกษตรกรได้เข้าครอบครอง ที่ดินดังกล่าวก่อน พ.ศ.2510 ให้เรียกเก็บเฉพาะค่าธรรมเนียมในการโอน และรังวัด และค่าปรับปรุงพัฒนาที่ดินที่ ส.ป.ก.ดำเนินการให้ตามจำนวนที่ คณะกรรมการกำหนด เฉพาะส่วนที่ไม่เกินห้าสิบไร่
นอกจากการจัดที่ดินให้แก่บุคคลตาม (1) (2) และ (3) ให้ ส.ป.ก. มีอำนาจจัดที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ให้แก่บุคคลใดเช่า เช่าซื้อ ซื้อหรือเข้าทำ ประโยชน์ เพื่อใช้สำหรับกิจการอื่นที่เป็นการสนับสนุนหรือเกี่ยวเนื่องกับการ ปฎิรูปที่ดินตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประกาศกำหนดใน ราชกิจจานุเบกษาได้ ทั้งนี้ ตามขนาดการถือครองในที่ดินที่คณะกรรมการเห็น สมควรซึ่งต้องไม่เกินห้าสิบไร่ ส่วนหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการ อนุญาตหรือการให้ผู้ได้รับอนุญาตถือปฏิบัติให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกำหนด โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
การจัดที่ดินให้เช่า หรือเช่าซื้อตาม มาตรานี้ไม่อยู่ในภายใต้บังคับแห่ง กฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมการเช่าหรือเช่าซื้อ และสิทธิการเช่าหรือเช่าซื้อ ดังกล่าวจะโอนแก่กันได้หรือตกทอดทางมรดกได้เฉพาะตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด
หมายเหตุ ความมเดิมใน มาตรานี้ได้ยกเลิกไป และให้ใช้ความต่อไปนี้ แทนโดย พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2532 แก้ไขใน มาตรา 10 ซึ่งประกาศในราชกิจจาฯ เล่มที่ 106 ตอนที่ 149 ลงวันที่ 8 กันยายน พ.ศ.2532
มาตรา 31 ถ้าเกษตรกรผู้ใดต้องการมีสิทธิในที่ดิน หรือขอเช่าที่ดินเพื่อ เกษตรกรรมเกินกว่าที่กำหนดไว้ตาม มาตรา 30 (1) หรือ (2) และแสดง ได้ว่าตนมีความสามารถและมีปัจจัยที่จะทำที่ดินที่ขอเพิ่มนั้นให้เป็นประโยชน์ใน ทางเกษตรกรรมได้ ทั้งตนจะเป็นผู้ประกอบเกษตรกรรมในที่ดินนั้นด้วยตนเอง ให้ทำคำร้อง ยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่พร้อมทั้งแสดงหลักฐานอ้างอิงประกอบ คำร้อง
เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่สอบสวนแล้ว ให้เสนอคำร้องพร้อมด้วยบันทึก รายงานผลการสอบสวนต่อคณะกรรมการ คณะกรรมการมีอำนาจพิจารณาอนุญาตให้ผู้ยื่นคำร้องมีสิทธิในที่ดินหรือได้ เช่าที่ดินได้ตามที่เห็นสมควร แต่ต้องไม่เกินหนึ่งเท่าของจำนวนเนื้อที่ ที่ดินที่กำหนดไว้ตาม มาตรา 30 (1) หรือ (2) ทั้งนี้โดยกำหนดเงื่อนไข ก็ได้ในกรณีที่ผู้รับอนุญาตไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข คณะกรรมการมีอำนาจสั่ง เพิกถอนการอนุญาตเสียได้และจัดซื้อ หรือดำเนินการเวนคืนที่ดินหรือสั่งเลิก การเช่าที่ดินดังกล่าวได้ทั้งหมด หรือแต่บางส่วนตามแต่จะเห็นสมควร และ นำที่ดินนั้นไปใช้เพื่อการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมต่อไป
มาตรา 32 ถ้า ส.ป.ก. ได้ที่ดินแปลงใดมาโดยการจัดซื้อหรือเวนคืน หรือได้มาตาม มาตรา 25ทวิ เพื่อใช้ในการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ให้ สิทธิของผู้เช่าที่ดินแปลงนั้นตามสัญญาเช่าหรือตามกฎหมายว่าด้วยการเช่าที่ดิน เพื่อเกษตรกรรมเป็นอันสิ้นสุดลง
หมายเหตุ ความเดิมในมาตรานี้ได้ยกเลิกไป และให้ใช้ความต่อไปนี้ แทนโดย พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2532 แก้ไขใน มาตรา 11 ซึ่งประกาศในราชกิจจาฯ เล่มที่ 106 ตอนที่ 149 ลงวันที่ 8 กันยายน พ.ศ.2532
มาตรา 33 เมื่อได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฎิรูปที่ดินใช้บังคับใน ท้องที่ใดแล้ว ให้พนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งให้บรรดาเจ้าของที่ดินที่มีที่ดิน เพื่อเกษตรกรรมที่อยู่ในเขตปฎิรูปที่ดินแจ้งจำนวนแปลงที่ดิน ขนาดของที่ดินแต่ ละแปลง ที่ตั้งของที่ดิน และการทำประโยชน์ในที่ดินที่ตนเป็นเจ้าของทุกแปลง ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายในเก้าสิบวัน ตามแบบและวิธีการที่รัฐมนตรีกำหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มาตรา 34 ในการเวนคืนที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์เพื่อการปฎิรูปที่ดินเพื่อ เกษตรกรรมตามพระราชบัญญัตินี้ ให้นำกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริม ทรัพย์มาใช้การบังคับโดยอนุโลม
สำหรับที่ดินที่เวนคืนตามวรรคหนึ่ง ให้ ส.ป.ก.หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมาย จาก ส.ป.ก.มีอำนาจเข้าครอบครองที่ดินดังกล่าวเพื่อดำเนินการปฎิรูปที่ดิน เพื่อเกษตรกรรมได้ทันที
มาตรา 35 การชำระราคาที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ที่จัดซื้อตามพระราช บัญญัตินี้ ให้จ่ายเป็นเงินสดหรือเงินสดและพันธบัตรของรัฐบาล ตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา
การชำระค่าทดแทนที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ที่เวนคืนตามพระราชบัญญัตินี้ ให้จ่ายเป็นเงินสดส่วนหนึ่ง และส่วนที่เหลือให้จ่ายเป็นพันธบัตรของรัฐบาล ตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา
ให้กระทรวงการคลังโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรี มีอำนาจออกพันธบัตร เพื่อ ชำระราคาหรือค่าทดแทนตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง และมีอำนาจกำหนด อัตราดอกเบี้ยระยะเวลาไถ่ถอน เงื่อนไข และวิธีการในการออกพันธบัตร ทั้งนี้ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
พันธบัตรตามวรรคสามเมื่อครบกำหนดชำระให้ชำระจากเงินของกองทุน การปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
มาตรา 36 มาตรา 36 ให้คณะกรรมการกำหนดเงินค่าทดแทนโดยคำนึงถึงการได้มา สภาพความอุดมสมบูรณ์ และทำเลที่ตั้งของที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ ประกอบ กับมูลค่าของผลิตผลเกษตรกรรมหลักที่สามารถผลิตได้จากที่ดินในท้องที่นั้นทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่สังคมและแก่บรรดาเกษตรกรผู้ที่จะต้องรับภาระ จ่ายค่าที่ดิน หรืออสังหาริมทรัพย์แก่ ส.ป.ก.ต่อไปด้วย
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีหนังสือแจ้งจำนวนเงินค่าทดแทน ให้เจ้าของที่ดิน หรือผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนทราบ ถ้าเจ้าของที่ดินหรือผู้มีสิทธิได้รับ ค่าทดแทนไม่เห็นชอบด้วยกับจำนวนเงินค่าทดแทนดังกล่าวมีสิทธิอุทธรณ์ได้ตาม มาตรา 40
หมายเหตุ ความเดิมในวรรคสามนี้ได้ยกเลิกไปแล้วโดย พระราช บัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2532 แก้ไขใน มาตรา 12 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 106 ตอนที่ 149 ลงวันที่ 8 กันยายน พ.ศ.2532
มาตรา 36ทวิ บรรดาที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ใด ๆ ที่ ส.ป.ก.ได้มา ตามพระราชบัญญัตินี้ หรือได้มาโดยประการอื่นที่มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ ในการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมไม่ให้ถือว่าเป็นที่ราชพัสดุ และให้ ส.ป.ก. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิเพื่อใช้ในการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายที่ดินมีอำนาจออกหนังสือแสดง สิทธิในที่ดินเกี่ยวกับที่ดินของ ส.ป.ก.ตามวรรคหนึ่ง ทั้งนี้ ตามที่ ส.ป.ก. ร้องขอ
หมายเหตุ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น มาตรา 36ทวิ โดย พ.ร.บ.แก้ไข เพิ่มเติมพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม(ฉบับที่ 3) พ.ศ.2532 แก้ไขใน มาตรา 13 ซึ่งประกาศในราชกิจจาฯ เล่มที่ 106 ตอนที่ 149 ลงวันที่ 8 กันยายน พ.ศ.2532
มาตรา 37 ห้ามมิให้ยกอายุความครอบครองขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับ ส.ป.ก. ในเรื่องที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ ส.ป.ก.ได้มาตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา 38 ถ้า ส.ป.ก.เกี่ยวข้องในกิจการใดที่กฎหมายกำหนดให้จด ทะเบียนในอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพย์สิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ในการ ปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้ ส.ป.ก.ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมในการ จดทะเบียนนั้น
มาตรา 39 ที่ดินที่บุคคลได้รับสิทธิโดยการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจะ ทำการแบ่งแยก หรือโอนสิทธิในที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นมิได้ เว้นแต่เป็นการตกทอด ทางมรดกแก่ทายาทโดยธรรม หรือโอนไปยังสถาบันเกษตรกร หรือ ส.ป.ก. เพื่อประโยชน์ในการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ทั้งนี้ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง ภายในเขตปฎิรูปที่ดิน
มาตรา 40 ถ้าเจ้าของที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์หรือผู้มีสิทธิได้รับเงินค่า ทดแทนผู้ใดประสงค์จะอุทธรณ์ให้ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ภายในสาม สิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งตาม
มาตรา 41 ให้มีคณะกรรมการอุทธรณ์คณะหนึ่ง ประกอบด้วยปลัด กระทรวงยุติธรรม เป็นประธานกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิทางกฎหมายหนึ่งคน ผู้ทรงคุณวุฒิทางดินหนึ่งคนผู้ทรงคุณวุฒิทางเศรษฐกิจการเกษตรหนึ่งคน ผู้ทรง คุณวุฒิทางพืชพรรณหนึ่งคน เป็นกรรมการ ให้ประธานกรรมการแต่งตั้งกรรม การหรือบุคคลใดเป็นเลขานุการคณะกรรมการ
ให้คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นกรรมการอุทธรณ์ กรรมการผู้ทรง คุณวุฒิจะเป็นกรรมการ หรืออนุกรรมการในคณะกรรมการหรือคณะกรรมการ ปฎิรูปที่ดินจังหวัดมิได้
มาตรา 42 ให้คณะกรรมการอุทธรณ์มีอำนาจหน้าที่พิจารณาวินิจฉัยคำ อุทธรณ์ที่ยื่นต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ ให้คณะกรรมการอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ให้ เสร็จสิ้นภายในกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำอุทธรณ์
หากผู้อุทธรณ์ไม่พอใจในคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ให้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองได้ ภายในกำหนดหนึ่งเดือนในกรณีที่ยังมิได้มีการตั้งศาลปกครองตามบทบัญญัติแห่ง รัฐธรรมนูญ มิให้นำข้อความดังกล่าวนี้มาใช้บังคับ
มาตรา 43 ให้คณะกรรมการอุทธรณ์มีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้น คณะหนึ่งหรือหลายคณะเพื่อกระทำการที่อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการอุทธรณ์ หรือให้ช่วยเหลือในการดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด ตามที่ได้รับมอบหมาย ทั้งนี้เว้นแต่การวินิจฉัยอุทธรณ์ และให้นำ มาตรา 17 และ มาตรา 18 มาใช้ บังคับโดยอนุโลม
มาตรา 44 ให้กรรมการอุทธรณ์ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งมีวาระอยู่ใน ตำแหน่งคราวละสองปีกรรมการซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับแต่งตั้ง เป็นกรรมการอีกได้
ในกรณีที่มีการแต่งตั้งกรรมอุทธรณ์ ระหว่างที่กรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้ว ยังมีวาระอยู่ในตำแหน่ง ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งซ่อมนั้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่ เหลืออยู่ของกรรมการอุทธรณ์ซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้วนั้น
มาตรา 45 ให้นำ มาตรา 16 มาตรา 17 และ มาตรา 18 มาใช้แก่คณะ กรรมการอุทธรณ์โดยอนุโลม
มาตรา 46 หลักเกณฑ์และวิธีการในการยื่นอุทธรณ์ และวิธีพิจารณาใน การวินิจฉัยคำอุทธรณ์ ให้กำหนดโดยกฎกระทรวง
มาตรา 47 ผู้ใดขัดขวางหรือไม่อำนายความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ ตาม มาตรา 23 หรือ มาตรา 27 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือ ปรับไม่เกินหนึ่งพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 48 ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประกาศของรัฐมนตรีซึ่งออกตาม มาตรา 33 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ
นายกรัฐมนตรี
หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศ ใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ ประเทศไทยได้จัดให้ มีการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมมาระยะหนึ่งแล้ว แต่การดำเนินการยังมีอุปสรรคทำให้ การงานไม่อาจดำเนินไปโดยเหมาะสมตามควร สมควรขยายขอบเขตการจัดที่ดินใน การปฏิรูปที่ดินให้กว้างขวางขึ้นให้สามารถ ช่วยเหลือผู้ที่ประสงค์จะเป็นเกษตรกรได้ และ อาจจัดที่ดินให้แก่ผู้ประกอบกิจการสนับสนุนและต่อเนื่องกับการปฏิรูปที่ดินได้ด้วย เพื่อให้ งานดำเนินไปครบวงจรของภาคเกษตรกรรม นอกจากนั้น ในการจัดหาที่ดินมาดำเนิน การปฏิรูปที่ดินได้มีปัญหาว่าจะจัดซื้อที่ดินจากผู้ที่สมัครใจขายได้หมดทั้งแปลงหรือไม่ และ การนำที่ดินของรัฐมาใช้จัดที่ดินมีปัญหาว่า ยังไม่มีแนวทางที่แน่ชัดระหว่างหน่วยงานที่ รับผิดชอบเกิดปัญหาว่า ส.ป.ก. สมควรจะนำที่ดินส่วนใดมาใช้จัดได้เมื่อใดและเพียงใด ทั้งยังมีข้อจำกัดที่ ส.ป.ก. จะเข้าดำเนินการในที่ดินที่มีผู้ประสงค์บริจาค เพราะที่ดินนั้น ต้องกลายเป็นที่ราชพัสดุและที่ดินอาจมีขนาดไม่กว้างมาก ซึ่งไม่เหมาะสมที่จะกำหนดเป็น เขตปฏิรูปที่ดินเล็ก ๆ โดยพระราชกฤษฎีกาหลายฉบับ ส่วนในขั้นนำที่ดินมาจัดให้แก่ ประชาชนนั้น กฎหมายปัจจุบันได้แยกข้อแตกต่างระหว่างที่ดินที่เป็นของรัฐมาแต่เดิมกับที่ดิน ที่ได้มาโดยการจัดซื้อหรือเวนคืน ทำให้ไม่อาจจัดสิทธิในที่ดินให้แก่ประชาชนให้สอดคล้อง กัน สมควรแก้ไขโดยคำนึงถึงเป้าหมายและความต้องการของผู้ขอรับการจัดที่ดินเป็นสำคัญ เพื่อให้สิทธิในที่ดินมีส่วนเกื้อหนุนสภาพความเป็นอยู่ในภาคเกษตรกรรมตามความเป็นจริง อนึ่งองค์ประกอบของคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมและคณะกรรมการปฏิรูปที่ดิน จังหวัด และแนวทางในการกำหนดเขตปฏิรูปที่ดินยังไม่เหมาะสมสมควรแก้ไขเพิ่มเติม กฎหมายปัจจุบันเสียใหม่ ในคำจำกัดความของคำว่า " เกษตรกร "จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
[ร.จ.เล่ม 106 ตอนที่ 149 หน้า 12 8 กันยายน 2532]